Bitcoin คืออะไร? 3 วิธีในการลงทุน Bitcoin

กลายมาเป็นอีกหนึ่งประเภทของสินทรัพย์ทางการเงินไปแล้วอย่างไม่เป็นทางการสำหรับสกุลเงินดิจิทัล ที่ไม่ว่าใครก็อยากได้มาใช้ในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน และในบรรดาสกุลเงินดิจิทัลทั้งหลาย หากไม่พูดถึง Bitcoin ก็เหมือนจะเป็นการพูดถึงสินทรัพย์ตัวนี้ได้ไม่ครบถ้วนนัก เพราะ Bitcoin ถือเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ของสินทรัพย์กลุ่มนี้ ทั้งยังเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความน่าเชื่อถือจากนักลงทุนเป็นอย่างสูง 

ดังนั้นคราวนี้เราจึงชวนมาทำความรู้จักสกุลเงินดิจิทัลกันว่า Bitcoin คืออะไร? Bitcoin น่าสนใจอย่างไร ทำไมจึงได้ใจนักลงทุนนัก รวมทั้งเราจะมีวิธีลงทุนใน Bitcoin ได้อย่างไรบ้าง

1. Bitcoin คืออะไร

Bitcoin ได้ชื่อว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล หรือ เงินเสมือนที่ผู้ใช้ไม่สามารถจับต้องได้อย่างสิ้นเชิง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเวอร์ชั่นของเงินออนไลน์ที่สามารถนำมาใช้เก็บรักษา โอนมูลค่า หรือชำระราคาไ้ด้เหมือนเงินปกติทั่วไป แต่ด้วยการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาใช้ ทำให้ Bitcoin ยังมีคุณสมบัติเฉพาะตัวอีกหลายประการที่เงินออนไลน์ (Online Cash) อื่น ๆ ไม่สามารถทำได้

เริ่มแรก Bitcoin ถูกสร้างขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายหลักเพื่อเป็นสกุลเงินที่กำจัดการแทรกแซงของอำนาจตัวกลางทางการเงินเช่น รัฐบาล ธนาคารกลาง หรือ สถาบันการเงินออกไป ทำให้สกุลเงินใหม่นี้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างแท้จริง และไม่เปลี่ยนแปลงมูลค่าตามนโยบายของธนาคารกลางใด ๆ ทั้งยังไม่สามารถถูกฟรีซธุรกรรมในระบบได้ ทั้งยังมีความปลอดภัยสูงจนได้รับความเชื่อถือเทียบเท่าทองคำ 

ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ในปัจจุบัน Bitcoin ถูกนำมาใช้แพร่หลายทั้งด้านการชำระราคาสินค้าและบริการที่ใดก็ตามที่รับสกุลเงินนี้ ซึ่งแม้เหรียญ Bitcoin จะมีมูลค่าสูงมาก แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องโอนหรือชำระราคาเต็มมูลค่าเหรียญ แต่ยังสามารถแบ่งจ่าย Bitcoin หนึ่งเหรียญออกเป็นหน่วยย่อยได้

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทุกร้านที่รับชำระราคาด้วย Bitcoin และรัฐบาลในหลายประเทศก็ห้ามการใช้ Bitcoin ไปแล้ว แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Microsoft, Paypal, Express VPN และ Wikipedia ก็ยังยินดีรับสกุลเงินนี้สำหรับการชำระราคา รวมถึงในร้านรวงทั่วไปเช่น ร้านทำผม ช่างต่าง ๆ ก็ยังมีคนที่รับ Bitcoin เพื่อจ่ายแทนค่าจ้างเช่นเดียวกัน

2. Bitcoin ทำงานอย่างไร

โดยพื้นฐานแล้ว Bitcoin เป็นข้อมูลดิจิทัลที่เก็บรักษามูลค่าเอาไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลที่อยู่ในแอปพลิเคชั่นหรือคอมพิวเตอร์ 

ในกรณีปกติผู้คนสามารถโอนมูลค่าของ Bitcoin ให้แก่กันด้วยการโอนเหรียญไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัลของคนอื่น ซึ่งทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นจะถูกเก็บรักษาเอาไว้ในบล็อกที่เป็นหน่วยย่อย ๆ ของระบบบล็อกเชนที่สนับสนุนด้วยผู้ใช้งานจำนวนมากมายในระบบนิเวศน์ที่อยู่เบื้องหลัง

ด้วยระบบบล็อกเชนนี้ทำให้การทำธุรกรรมไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางในการยืนยันธุรกรรม แต่ใช้การประมวลผลของบล็อกเชนที่ได้รับฉันทามติจากผู้ที่อยู่ในระบบ ทั้งยังเป็นระบบที่มีความปลอดภัย แฮ็กได้ยาก และไม่มีการยืนยันธุรกรรมซ้ำ (Double Spending) อย่างเด็ดขาด ทำให้ผู้ใช้ไว้วางใจได้ในระดับสูง

นอกจากนี้ธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนระบบบล็อกเชนนี้ยังถูกเก็บรักษาไว้ทั้งหมด ทำให้การตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังเป็นสิ่งที่ทำได้ Bitcoin จึงได้ชื่อว่าเป็นสกุลเงินที่โปร่งใสตรวจสอบได้ในอีกทางหนึ่ง

3. Bitcoin ใช้ประโยชน์ด้านใดได้บ้าง

Bitcoin ใช้ประโยชน์ด้านใดได้บ้าง

หลังจากวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ในปี 2008 ที่ภายหลังจากนั้นประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลกอย่างอเมริกามีการแทรกแซงระบบการเงินจนมีผลให้สกุลเงินสำคัญต่อการลงทุนอย่างดอลลาร์เสื่อมค่าลงอย่างมาก นักลงทุนจึงเริ่มกระหายที่จะแสวงหาสกุลเงินที่จะไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจใด ๆ เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุน 

ทั้งหมดนี้กลายมาเป็นเงื่อนไขในการมองมาที่ Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ ที่เพิ่งเริ่มถือกำเนิดและเติบโตภายหลังจากน้ันอย่างรวดเร็ว เนื่องจากจุดเด่นที่เราจำแนกออกได้ดังนี้

  • การทำธุรกรรมด้วย Bitcoin เมื่อยืนยันแล้วไม่สามารถเปลี่ยนกลับหรือยับยั้งได้

หนึ่งในคุณสมบัติหลักของเทคโนโลยีบล็อกเชนคือการคงรูป ซึ่งทุกข้อมูลที่ได้รับการยืนยันและรับเข้าไปในระบบแล้วจะไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้ เช่นเดียวกับการทำงานของ Bitcoin ที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้

นั่นคือเมื่อธุรกรรมบน Bitcoin ได้รับการยืนยันแล้วจะไม่สามารถยับยั้ง ลบ หรือแก้ไขข้อมูลใด ๆ ได้อีก ไม่ว่าการแก้ไขนั้นจะได้รับการร้องขอจากตัวกลางที่มีอำนาจอย่างรัฐบาล หรือ ธนาคารกลางก็ตาม ดังนั้นเมื่อเกิดการโอนเงินแล้วก็จะไม่สามารถดึงเงินกลับมาได้ และผู้ใช้ก็สามารถมั่นใจได้ว่าธุรกรรมที่ยืนยันแล้วจะเกิดขึ้นจริง ๆ โดยไม่มีการฟรีซเหมือนที่อาจเกิดขึ้นกับสกุลเงินเฟียซอื่น ๆ

  • Bitcoin มีระบบการทำธุรกรรมที่เป็นส่วนตัวและปลอดภัยสูง

การทำธุรกรรมบน Bitcoin มีลักษณะกึ่งปกปิดกึ่งเปิดเผย นั่นคือไม่เชิงปกปิดทั้งหมด เนื่องจากแต่ละธุรกรรมจะถูกระบุตัวตนด้วยที่อยู่บนบล็อกเชน (Blockchain Address) ซึ่งผู้ใช้หนึ่งรายสามารถมีที่อยู่นี้ได้มากกว่าหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้แต่ละคนจะสมัครบัญชีไว้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งแน่นอนว่าด้วยการระบุตัวตนของเจ้าของธุรกรรมแบบนี้ ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบธุรกรรมได้ แต่ไม่สามารถบอกตัวตนเจ้าของธุรกรรมได้จริง ๆ

และด้วยการทำธุรกรรมด้วย Bitcoin ไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเช่น เลขบัตรเครดิต เลขบัญชี ฯลฯ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะถูกขโมยหรือโจรกรรมข้อมูลต่ำ มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยสูง

  • Bitcoin ไม่มีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ อย่างที่ธนาคารเรียกเก็บ

แม้ว่าปกติแล้วตัวกลางซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ จะมีค่าธรรมเนียมสำหรับ ผู้โอน และผู้รับโอน และบางครั้งก็อาจจะมีค่าธรรมเนียมการฝาก-ถอนเงิน แต่ผู้ใช้ Bitcoin ก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เหมือนการใช้สกุลเงินเฟียซที่ต้องมีค่าธรรมเนียมให้กับธนาคารตัวกลาง เช่น ค่าธรรมเนียมการรักษาบัญชี ค่าธรรมเนียมการใช้งานขั้นต่ำ ค่าธรรมเนียมรายปี ฯลฯ

  • Bitcoin มีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่ำแม้ว่าจะเป็นธุรกรรมการโอนเงินระหว่างประเทศ

จริงอยู่ที่ปัจจุบันค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม Bitcoin มีราคาแพงขึ้นเนื่องจากระบบที่ต้องรองรับปริมาณการทำธุรกรรมจำนวนมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว และไม่อาจกล่าวได้ว่าค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมของ Bitcoin นั้นต่ำจนแทบไม่มีอีกต่อไป 

แต่อย่างไรก็ดีสำหรับการทำธุรกรรมโอนเงินข้ามประเทศ การเลือกใช้ Bitcoin ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจาก Bitcoin สามารถใช้งานได้ทั่วโลกในระบบเดียว ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมโอนเงินต่างประเทศที่มีเรทสูงจากตัวกลางเช่น Swift Transfer ทั้งยังสามารถโอนเงินได้รวดเร็วกว่ามากอีกด้วย

4. จุดอ่อนของ Bitcoin

จุดอ่อนของ Bitcoin

เป็นความจริงที่การเกิดขึ้นของ Bitcoin เป็นเหมือนนวัตกรรมที่เป็นโฉมหน้าใหม่ของแวดวงการเงินการลงทุน แต่นวัตกรรมตัวนี้ก็มาพร้อมกับข้อจำกัดที่นักลงทุนควรต้องตระหนักเช่นกัน 

  • Bitcoin ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ระบบของ Bitcoin กินไฟสูงเทียบเท่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศเนเธแลนด์ในรอบหนึ่งปี และมีเพียง 30 ประเทศในโลกเท่านั้นที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงกว่า และปริมาณไฟฟ้าที่คอมพิวเตอร์ใช้ขุด Bitcoin เทียบเท่าการใช้พลังงานไฟฟ้ากว่า 1% ของปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดในโลกทีเดียว

  • Bitcoin ไร้การกำกับดูแลและไม่มีสินทรัพย์หนุนหลัง

เนื่องจากสกุลเงินดิจิทัลถูกใช้ในภาคเอกชนที่อยู่นอกเหนือการควบคุมตรวจสอบของหน่วยงานรัฐ ทำให้ Bitcoin ไม่ได้ถูกควบคุมกำกับดูแลเหมือนผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบดั้งเดิมอื่น ๆ ซึ่งนั่นหมายความว่า Bitcoin ยังสามารถถูกนำไปใช้ฉ้อโกงนักลงทุนที่ไม่ระมัดระวังได้ และจากการศึกษาในปี 2019 พบว่าผู้ใช้ Bitcoin กว่า 25% มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย และ 46% ของธุรกรรม Bitcoin ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายเช่นเดียวกัน

5. Bitcoin ปลอดภัยต่อการลงทุนหรือไม่

การเข้ารหัสที่เป็นพื้นฐานการออกแบบระบบของ Bitcoin นั้นมีพื้นฐานมาจากอัลกอริทึ่ม SHA-256 ที่คิดค้นขึ้นโดยหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา ซึ่งการจะแฮ็กระบบนั้นมีความยากจนเรียกว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ก่อนหน้านี้อาจมีข่าวเว็บไซต์ซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลถูกแฮ็ก และเหล่าแฮ็กเกอร์ก็ขโมย Bitcoin ที่มีอยู่ในระบบไป อย่างหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ Bitcoin จัดเก็บอยู่บนกระเป๋าเงินของทางเว็บไซต์ผู้ให้บริการ ซึ่งหากมีรูรั่วก็สามารถถูกโจมตีได้ แต่นั่นเป็นการแฮ็กบนเว็บไซต์ ไม่ใช่บนเครือข่าย Bitcoin 

สำหรับการแฮ็กบนเครือข่าย Bitcoin นั้นตามทฤษฎีแล้วก็พอจะมีทางที่เป็นไปได้ นั่นคือการเข้าควบคุมหน่วยเล็ก ๆ บนเครือข่าย (โหนด) ให้เกินกว่า 50% และผู้ที่สามารถควบคุมโหนดส่วนใหญ่ของระบบได้ก็สามารถควบคุมการสร้างฉันทมติของเครือข่ายได้

สิ่งหนึ่งที่ต้องโน้ตไว้นั่นก็คือ แม้ในทางทฤษฎีการแฮ็กระบบ Bitcoin นั้นมีความเป็นไปได้ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ในทางปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากปัจจุบันโหนดบนเครือข่าย Bitcoin มีนับไม่ถ้วน และการแฮ็กเข้าระบบเพื่อควบคุมโหนดเกิน 50% ของระบบในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้

6. Bitcoin เป็นการฉ้อโกงหรือไม่

หลายครั้งที่เรามักได้ยินการฉ้อโกง หรือกลโกงที่ทำให้เหล่านักลงทุน Bitcoin ต้องสูญเสียเงินทุนหรือสูญเสีย Bitcoin ที่มีในกระเป๋าเงินไป ซึ่งแน่นอนว่าการฉ้อโกงนั้นเกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบในทุกสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยม และเกิดขึ้นมาแล้วมากมายไม่เฉพาะกับ Bitcoin แต่กลโกงเหล่านี้เกิดขึ้นจากตัวกลางหรือมือที่สามซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลงทุนหรือซื้อขายเหรียญ Bitcoin โดยตรง

ลำพังการซื้อขาย Bitcoin อย่างเดียวนั้น นักลงทุนมีโอกาสสูญเสียเงินลงทุนได้มากเท่ากับราคาของ Bitcoin ที่แกว่งตัวขึ้นลง แต่เป็นการยากที่สินทรัพย์จะกลายเป็นศูนย์ ซึ่งหากลงทุนแล้วเงินหายทั้งหมดมีโอกาสที่นั่นจะไม่ใช่การลงทุนใน Bitcoin แต่เป็นการฉ้อโกงที่มาได้ในหลายรูปแบบ

ตัวอย่างเช่น 

  • ชวนลงทุนใน Bitcoin โดยโอนเงินไปยังตัวกลางที่ไม่มีที่มา ทำให้เสี่ยงต่อการเชิดเงินหนี และสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด 
  • การหลอกขโมยข้อมูล เช่น private key ที่เป็นเสมือนเลขบัตรเครดิต ทำให้มีโอกาสที่บัญชีจะถูกแฮ็กและสูญเสียเหรียญที่มีทั้งหมดในกระเป๋าเงินออกไปได้
  • การโฆษณาเชิญชวนให้นำเหรียญไปฝากยังตัวกลางที่อาจเป็นที่รู้จักแต่ไม่สามารถตรวจสอบและไม่มีหน่วยงานควบคุมกำกับ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนในอัตราสูง แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้ให้บริการก็ปิดเว็บไซต์หายไปพร้อมกับเหรียญที่นักลงทุนโอนเข้าไปเพื่อลงทุน 

แต่ทั้งหมดนี้มักเกิดขึ้นจากตัวกลางในการให้บริการหรือบุคคลที่สาม โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่าย Bitcoin ทั้งสิ้น

7. คุณเหมาะกับการลงทุนใน Bitcoin หรือไม่

อย่างแรกที่ต้องทำความเข้าใจนั่นคือ เราไม่แนะนำให้คุณนำเงินที่เก็บมาทั้งชีวิตมาลงทุนใน  Bitcoin หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ และทางที่ดีที่สุดคือให้มองมันเป็นการลงทุนที่กึ่ง ๆ ไปทางการพนันเล็ก ๆ 

ทั้งนี้เนื่องจาก Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง การลงทุนด้วยเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจสามารถสร้างผลตอบแทนจำนวนมากได้ แต่ก็สามารถสูญเสียเป็นจำนวนมากได้เช่นกัน ดังนั้น จึงควรใช้เงินลงทุนไม่มาก

ละก่อนที่คุณจะนำเงินมาลงทุนใน Bitcoin ควรเข้าใจว่าการรักษาเงินต้นนับเป็นจุดประสงค์หลักในการลงทุนนี้ หลังจากนั้นเรามาดูโอกาสและความเสี่ยงสำหรับการลงทุนนี้กัน

โอกาสของการลงทุนใน Bitcoin คือ โอกาสในการสร้างเงินลงทุนให้เติบโตเป็นจำนวนมาก นักลงทุนที่ซื้อ Bitcoin เก็บไว้มักคาดการณ์ว่า Bitcoin จะได้รับความนิยมสูงขึ้นในอนาคต มีผู้ใช้งานมากขึ้น ได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้น และมีคนมากมายที่จะตามเข้ามาสู่ตลาดนี้ และนั่นเป็นวิธีที่ราคา Bitcoin จะขยับสูงขึ้นได้

สหรับความเสี่ยง ราคาของ Bitcoin มีความผันผวนสูง การเปลี่ยนแปลงของราคาในรอบเดือนของ Bitcoin เมื่อเทียบกับดอลลาร์เปลี่ยนแปลงได้สูงถึง 90% จากการคำนวณราคาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับสินค้าทางการเงินอื่น ๆ เช่น SP500 ที่เปลี่ยนแปลงเพียง 15.3% และทองคำที่เปลี่ยนแปลง 13.4% ก็นับว่า Bitcoin มีความผันผวนที่สูงกว่ามาก 

หากจะถามว่าความผันผวนเหล่านี้จะมีผลอย่างไรต่อนักลงทุน เราต้องมาดูช่วงของผลตอบแทน นับถึงเดือนธันวาคม 2020 เดือนที่ Bitcoin ให้ผลตอบแทนสูงสุดนั้นสามารถให้ผลตอบแทนได้สูงถึง 76.1% ขณะที่ผลตอบแทนต่ำสุดก็สามารถติดลบได้ถึง 37.6% ดังนั้นช่วงเวลาในการเข้าลงทุนจึงสำคัญต่อการลงทุนใน Bitcoin ได้สูงเช่นเดียวกัน

ซึ่งหากลองพิจารณาดูแล้วคุณสามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้สูง ทนทานต่อความผันผวนระดับสูงที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ รวมถึงสามารถจัดการเงินลงทุนได้อย่างดี การลงทุนใน Bitcoin ก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน

อย่างไรก็ดี แม้หลายฝ่ายจะกล่าวว่า Bitcoin เป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง และสูงยิ่งกว่าการทำธุรกรรมการเงินกับธนาคารแบบดั้งเดิม แต่กระเป๋าเงิน Bitcoin แบบ Hot Wallet ก็ยังคงเป็นเป้าหมายการโจมตีของแฮ็กเกอร์ได้เสมอ และเดือนพฤษภาคม 2019 Bitcoin กว่า $40 ล้านได้ถูกโจรกรรมไปจากบัญชีกระเป๋าเงินของผู้มีความมั่งคั่งสูง ที่มีบัญชีอยู่กับเว็บซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลชื่อดังอย่าง Binance ดังนั้นการลงทุนใน Bitcoin ที่ต้องมีการเก็บรักษาเหรียญไว้เองจึงควรต้องระมัดระวังปัจจัยอย่างการถูกแฮ็กด้วยเช่นกัน (แต่ในกรณีนี้บริษัท Binance ได้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว)

8. 3 วิธีในการลงทุน Bitcoin

สำหรับวิธีการลงทุนใน Bitcoin ปัจจุบันก็มีหลากหลายวิธีให้นักลงทุนได้เลือกมากขึ้น ไม่เฉพาะว่าจะต้องขุดเหรียญและเก็บไว้เองเหมือนช่วงเริ่มแรก แต่ยังสามารพซื้อขายบนเว็บแลกเปลี่ยน รวมทั้งเทรดบนความเปลี่ยนแปลงของราคาได้โดยที่ไม่ต้องถือเหรียญ Bitcoin แม้สักเหรียญเลยก็ได้

8.1 การขุด (Mining)

การขุดบิทคอยน์ (Mining)

การขุดเป็นวิธีการดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมสูงในช่วงแรก ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคา Bitcoin ปรับตัวสูง เนื่องจากเป็นวิธีที่ทำให้นักขุดได้เหรียญมาจากการทำงานให้ระบบซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตเหรียญ และสามารถถือไว้รอขายในราคาสูงได้

  • ขั้นตอนการขุดเหรียญ

นักขุดจะต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงเข้ากับเครือข่าย Bitcoin และแข่งขันกันแก้สมการทางคณิตศาสตร์เพื่อให้ได้รับเลือกเป็นผู้ยืนยันธุรกรรม ซึ่งจะได้เหรียญ Bitcoin จำนวหนึ่งกลับมาเป็นรางวัล

ทั้งนี้การขุด Bitcoin เป็นกิจกรรมที่ต้องมีการแข่งขัน ดังนั้นยิ่ง Bitcoin มีราคาสูง ก็จะยิ่งดึงดูดให้ผู้คนเข้ามร่วมวงขุดมากขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นคอมพิวเตอร์หรือเครื่องขุดที่มีประสิทธิภาพธรรมดา ๆ จึงมีโอกาสแข่งชนะต่ำมาก ปัจจุบันการขุดจึงพัฒนาขึ้นเป็นหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ Cloud Mining, Pool Mining ที่แม้นักขุดจะไม่ได้มีอุปกรณ์คุณภาพสูงก็สามารถเข้าร่วมแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งก้อนนี้ได้

  • ข้อดีของการขุด

การขุดทำให้นักขุดได้ครอบครองเป็นเจ้าของเหรียญจริง ๆ และสามารถเก็บไว้เพื่อเลือกจุดขายได้ตามราคาที่ตัวเองต้องการ ซึ่งหากไม่รวมค่าไฟฟ้า ค่าเสียเวลา และค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ เงินทุนที่ได้จากการขายเหรียญ Bitcoin ก็สามารถนับเป็นผลกำไรจากการขุดได้ทั้งหมด

  • ข้อเสียในการขุด

1) การแข่งขันสูง เนื่องจากปัจจุบันราคา Bitcoin ปรับตัวสูงขึ้นมากทำให้มีผู้เข้าร่วมการขุดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงจะผลักดันให้นักขุดต้องอัปเกรดอุปกรณ์เพื่อแจ่งขันอย่างเข้มข้นขึ้น แต่ยังจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามาก ทำให้ผลตอบแทนที่ได้ในบางครั้งก็ไม่คุ้มกับต้นทุนในการขุด

2) ใช้เวลานานกว่าจะได้เป็นเจ้าของเหรียญ และด้วยต้นทุนการขุดที่สูงทำให้นักลงทุนอาจต้องรอเวลาสำหรับการขายเหรียญให้ได้กำไร

3) มีความเสี่ยงในการเก็บรักษาเหรียญ เหรียญที่ได้จากการขุดจำเป็นต้องเก็บรักษาไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัล ซึ่งยังคงมีความเสี่ยงของการถูกแฮ็กกระเป๋า รวมทั้ง ความเสี่ยงที่จะลืมรหัสและทำให้สูญเสียเหรียญทั้งหมดโดยไม่มีใครช่วยได้

8.2 การซื้อเหรียญ (Exchange)

วิธีนี้ช่วยลดขั้นตอนให้นักลงทุนสามารถเป็นเจ้าของ Bitcoin ได้ด้วยขั้นตอนและเวลาที่สั้นลง ซึ่งทำได้โดยการจ่ายเงินซื้อมันมา การซื้อขาย Bitcoin มีวิธีทำกำไรไม่ซับซ้อน นั่นก็คือการซื้อเหรียญให้ได้ในราคาถูก และขายออกไปในราคาแพง ส่วนต่างของราคาซื้อขายก็คือกำไรที่จะได้รับ

  • ขั้นตอนการซื้อเหรียญ

1) เลือกแพลตฟอร์มการซื้อขาย ปัจจุบันทรแพลตฟอร์มซื้อขายเหรียญดิจิทัลมากมายซึ่งสามารถใช้ซื้อขาย Bitcoin ได้เช่นกัน และปัจจัยหลักที่คสรคำนึงถึงคือความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ และลงทะเบียนเพื่อเปิดบัญชีได้ทันที

2) ฝากเงิน เมื่อได้บัญชีซื้อขายแล้ว นักลงทุนสามารถโอนเงินเข้ามาสำหรับทำการซื้อขาย ซึงมีวิธีการหลากหลายให้เลือก เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร การตัดบัตรเครดิต/เดบิต หนือแม้แต่ช้องทางการโอนเงินอื่นๆ เช่น paypal

3) ซื้อเหรียญ หลังจากนั้นนักลงทุนสามารถใช้บัญชีและเงินที่โอนมาส่งคำสั่งซื้อ Bitcoin ได้ทันที

4) เก็บเหรียญ เมื่อคำสั่งซื้อได้รับการยืนยัน ก็สามารถเก็บรักษาหรือโอนไปยังกระเป๋าเงินอื่นได้ทันที

  • ข้อดีของการซื้อเหรียญ

– ใช้เวลาสั้นลงเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของเหรียญ ไม่จำเป็นต้องลงทุนอุปกรณ์หรือแข่งแก้สมการกับนักขุดอื่นๆ ก็สามารถเป็นเจ้าของเหรียญได้

– นักลงทุนได้เป็นเจ้าของเหรียญจริงๆ และสามารถได้ดอกผลจากการถือเหรียญเช่น การทำแอร์ดรอป

  • ข้อเสียของการซื้อเหรียญ

– มีความเสี่ยงในการเก็บรักษา เนื่องจากการเก็บเหรียญ Bitcoin จำเป็นต้องเก็บรักษาไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัล ทำให้มีความเสี่ยงในการโดนแฮ็กและขโมยเหรียญไปทั้งหมดได้

– มีความเสี่ยงจากตัวกลางให้บริการ เนื่องจากการซื้อขายเหรียญ Bitcoin เป็นการซื้อขายผ่านตัวกลาง โดยที่นักลงทุนจะต้องโอนเงินไปก่อน และต้องฝากเหรียญไว้ด้วย ซึ่งหากตัวกลางไม่น่าเชื่อถือก็สามารถปิดบริการและหายไปพร้อมกับเงินลงทุนทั้งหมดได้

– นักลงทุนอาจต้องใช้เวลานานเพื่อรอให้ถึงระดับราคาที่ต้องการ เนื่องจากการทำกำไรทำได้เฉพาะทิศทางราคาขาขึ้นเท่านั้น

8.3 การเก็งกำไร (Speculation) 

การเก็งกำไร (Speculation) จากความผันผวนของราคาบิทคอยน์
การเก็งกำไร (Speculation) จากความผันผวนของราคาบิทคอยน์

วิธีนี้เป็นการมุ่งหากำไรจากส่วนต่างราคาซื้อขายของเหรียญ Bitcoin ทำให้นักลงทุนสามารถฉวยโอกาสจากความผันผวนของราคาเพื่อสร้างผลกำไรได้แม้จะไม่มีเหรียญ Bitcoin ในมือก็ตาม 

ปัจจุบันตราสารที่นักลงทุนนิยมนำมาใช้ในการเก็งกำไรบน Bitcoin นั้นมีไม่มาก และ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง หรือ Contract for Difference (CFD) เป็นหนึ่งในนั้น

สัญญาซื้อขายส่วนต่าง CFD เป็นตราสารอนุพันธ์ชนิดหนึ่งที่อนุญาตให้นักลงทุนใช้อัตราทดเข้ามาช่วยขยายผลกำไร และคำนวณผลกำไรจากส่วนต่างราคาซื้อขาย ดังนั้นตราสารชนิดนี้จึงสามารถสร้างผลกำไรให้กับนักลงทุนได้ทั้งทิศทางราคาขาขึ้นและขาลง ด้วยการใช้เงินทุนไม่มาก

1) ลงทะเบียนเพื่อเปิดบัญชีซื้อขาย ขั้นตอนนี้แม้จะดูง่ายเนื่องจากการลงทะเบียนกับโบรกเกอร์นั้นทำผ่านอินเตอร์เน็ตและใช้เวลาไม่นาน แต่นักลงทุนก็จำเป็นต้องเลือกโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือ ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเงินทุนจะถูกเก็บรักษาอย่างดี 

และเมื่อบัญชีได้รับการอนุมัติ นักลงทุนก็สามารถใช้บัญชีนี้เพื่อเข้าไปทำรายการต่อไปได้ทันที

2) โอนเงินเข้าบัญชี ขั้นตอนนี้นักลงทุนจำเป็นต้องโอนเงินเข้าไปฝากไว้ที่โบรกเกอร์เพื่อใช้สำหรับชำระการทำธุรกรรม ซึ่งสามารถใช้วิธีได้หลากหลาย เช่น โอนผ่านธนาคาร ตัดบัตรเครดิต/เดบิต หรือการชำระเงินออนไลน์อื่น ๆ เช่น paypal

3) เริ่มเทรด หลังจากนั้นนักลงทุนสามารถเริ่มการเทรดได้ทันที ซึ่งการเทรด CFD นั้นมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน นั่นคือเริ่มจากการเปิดสัญญา หากเปิดสัญญาสถานะ Long จะใช้สำหรับทำกำไรในทิศทางราคาขาขึ้น ขณะที่สัญญาสถานะ Short เหมาะกับการทำกำไรในทิศทางราคาขาลง และส่วนต่างของราคานี้เองที่จะกลายมาเป็นผลกำไรของการลงทุนนี้

  • ข้อดีของการเก็งกำไร

– ใช้เงินลงทุนน้อย

เนื่องจากการซื้อขาย Bitcoin ด้วยสัญญาซื้อขายส่วนต่างไม่จำเป็นต้องวางเงินเต็มจำนวน ทำให้นักลงทุนที่มีเงินทุนไม่มากสามารถเข้าถึงการลงทุนใน Bitcoin ได้ หากปริมาณซื้อขายยิ่งน้อย เงินทุนตั้งต้นยิ่งต่ำ ตอนนี้บางโบรกเกอร์อนุญาตให้ซื้อขายขั้นต่ำ 0.01 ล็อต

– เป็นการเทรดที่ใช้เลเวอเรจหรืออัตราทด

ช่วยขยายผลกำไรให้กับเงินลงทุน ทำให้แม้นักลงทุนจะใช้เงินลงทุนไม่มากก็สามารถทำกำไรในจำนวนมากได้ ตอนนี้อัตราเลเวอเรจในการเทรดบิทคอยน์ของโบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะเป็น 1:2, 1:5 หรือ 1:10

– ลดความเสี่ยงด้านการถือครองเหรียญ

เนื่องจากการเทรดด้วยสัญญาซื้อขายส่วนต่างไม่มีความจำเป็นต้องถือครองเหรียญ จึงไม่มีความเสี่ยงที่จะโดนแฮ็กหรือโจรกรรมเหรียญ

– ต้นทุนค่าธรรมเนียมการซื้อขายต่ำ

ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยก็กลายเป็นผลกำไรได้ง่าย หลายโบรกเกอร์ไม่มีการคิดค่าคอมมิชชั่น มีเพียงสเปรดราคาเล็ก ๆ น้อย ๆ และหากนักลงทุนไม่ได้ถือสถานะข้ามคืนก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมการถือสถานะข้ามคืน จึงเหมาะกับการซื้อขายที่ใช้เวลาสั้น และมีการซื้อขายบ่อยครั้งเพื่อสะสมกำไร

– เทรดได้ทั้งราคาขาขึ้นและขาลง ไม่ว่าราคาบิทคอยน์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลง ก็สามารถเปิดคำสั่งเพื่อเก็งกำไรได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

  • ข้อเสียของการเก็งกำไร

– ความเสี่ยงจากการใช้เลเวอเรจ การใช้เลเวอเรจนั้น ด้านหนึ่งเป็นการขยายความสามารถในการทำกำไร แต่อีกด้านก็สามารถขยายขนาดผลขาดทุนได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรใช้อย่างระมัดระวัง

– ยังคงมีความเสี่ยงของตัวกลาง ซึ่งหากนักลงทุนเลือกเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือก็อาจถูกฉ้อโกงยักยอกเงินลงทุนไปทั้งหมดได้

วันนี้เราได้อธิบายแล้วว่า Bitcoin คืออะไร, ทำงานอย่างไร, ใช้ประโยชน์ด้านใดได้บ้างและมีจุดอ่อนอย่างไรรวมทั้งแนะนำ 3 วิธีในการลงทุน Bitcoin ด้วยเพื่อช่วยนักลงทุนเข้าใจโลกของสกุลเงินดิจิตอลและติดตามกระแสสกุลเงินดิจิตอลได้

FAQ(คำถามที่พบบ่อย)

ซาโตชิ นากาโมโตะคือใคร
ไม่มีใครรู้แน่นอนว่าซาโตชิ นากาโมโตะ นั้นเป็นใครกันแน่ รวมทั้งไม่รู้ด้วยว่านี่ใช่ชื่อจริงของเขาหรือเปล่า เนื่องจากชื่อ ซาโตชิ นากาโมโตะนั้นอาจจะเป็นชื่อบุคคล หรือ กลุ่มคนที่ปล่อยเอกสารไวท์เปเปอร์ของ Bitcoin ออกมาในปี 2008 และได้ลงมือสร้าง Bitcoin เวอร์ชั่นเริ่มต้นให้ออกมาทดลองใช้ในปี 2009 และหนึ่งปีหลังจากนั้นก็มีผู้คนมากมายออกตัวว่าเป็น ซาโตชิ นากาโมโตะ ในชีวิตจริง แต่นับจนถึงปี 2021 ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าตัวจริงของเขาคือใคร
ทำไมจีนจึงเข้าชนกับสกุลเงินดิจิทัล
เดิมประเทศจีนได้ชื่อว่าเป็นแหล่งขุด Bitcoin สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีการเทรดสกุลเงินดิจิทัลกันอย่างแพร่หลาย รวมถึงรัฐบาลจีนก็มีนโยบายสร้างสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองในรูปหยวนดิจิทัล
แต่การจำกัดการเทรดและใช้งานสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ก็เริ่มเป็นไปอย่างหนักหน่วงขึ้นเมื่อปี 2019 รัฐบาลปักกิ่งประกาศว่าสกุลเงินดิจิทัลเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
หลังจากนั้นในปี 2021 ธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็เริ่มแบนการทำธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสกุลเงินดิจิทัล และหน่วยงานรัฐก็ออกมาประกาศว่าจะไม่มีการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคหากมีการสูญเสียเงินจากการเทรดสกุลเงินดิจิทัล โดยให้เหตุผลถึงเรื่องที่สกุลเงินดิจิทัลเป็นเป้าหมายของการฟอกเงิน ขณะที่หยวนดิจิทัลเริ่มถูกนำออกมาใช้อย่างเต็มรูปแบบในปีนี้
การทำลายเหมืองขุดเหรียญดิจิทัลยังคงเป็นไปอย่างรุนแรงขึ้น และระงับการให้บริการของผู้ให้บริการด้านสกุลเงินดิจิทัลยักษ์ใหญ่ ซึ่งส่งผลต่อมูลค่าของเหรียญ Bitcoin, Dogecoin, Ethereum หรือ Binance ให้ปรับตัวต่ำลงในช่วงที่ผ่านมา