กลายมาเป็นอีกหนึ่งประเภทของสินทรัพย์ทางการเงินไปแล้วอย่างไม่เป็นทางการสำหรับสกุลเงินดิจิทัล ที่ไม่ว่าใครก็อยากได้มาใช้ในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน และในบรรดาสกุลเงินดิจิทัลทั้งหลาย หากไม่พูดถึง Bitcoin ก็เหมือนจะเป็นการพูดถึงสินทรัพย์ตัวนี้ได้ไม่ครบถ้วนนัก เพราะ Bitcoin ถือเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ของสินทรัพย์กลุ่มนี้ ทั้งยังเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความน่าเชื่อถือจากนักลงทุนเป็นอย่างสูง
ดังนั้นคราวนี้เราจึงชวนมาทำความรู้จักสกุลเงินดิจิทัลกันว่า Bitcoin คืออะไร? Bitcoin น่าสนใจอย่างไร ทำไมจึงได้ใจนักลงทุนนัก รวมทั้งเราจะมีวิธีลงทุนใน Bitcoin ได้อย่างไรบ้าง
1. Bitcoin คืออะไร
Bitcoin ได้ชื่อว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล หรือ เงินเสมือนที่ผู้ใช้ไม่สามารถจับต้องได้อย่างสิ้นเชิง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเวอร์ชั่นของเงินออนไลน์ที่สามารถนำมาใช้เก็บรักษา โอนมูลค่า หรือชำระราคาไ้ด้เหมือนเงินปกติทั่วไป แต่ด้วยการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาใช้ ทำให้ Bitcoin ยังมีคุณสมบัติเฉพาะตัวอีกหลายประการที่เงินออนไลน์ (Online Cash) อื่น ๆ ไม่สามารถทำได้
เริ่มแรก Bitcoin ถูกสร้างขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายหลักเพื่อเป็นสกุลเงินที่กำจัดการแทรกแซงของอำนาจตัวกลางทางการเงินเช่น รัฐบาล ธนาคารกลาง หรือ สถาบันการเงินออกไป ทำให้สกุลเงินใหม่นี้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างแท้จริง และไม่เปลี่ยนแปลงมูลค่าตามนโยบายของธนาคารกลางใด ๆ ทั้งยังไม่สามารถถูกฟรีซธุรกรรมในระบบได้ ทั้งยังมีความปลอดภัยสูงจนได้รับความเชื่อถือเทียบเท่าทองคำ
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ในปัจจุบัน Bitcoin ถูกนำมาใช้แพร่หลายทั้งด้านการชำระราคาสินค้าและบริการที่ใดก็ตามที่รับสกุลเงินนี้ ซึ่งแม้เหรียญ Bitcoin จะมีมูลค่าสูงมาก แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องโอนหรือชำระราคาเต็มมูลค่าเหรียญ แต่ยังสามารถแบ่งจ่าย Bitcoin หนึ่งเหรียญออกเป็นหน่วยย่อยได้
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทุกร้านที่รับชำระราคาด้วย Bitcoin และรัฐบาลในหลายประเทศก็ห้ามการใช้ Bitcoin ไปแล้ว แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Microsoft, Paypal, Express VPN และ Wikipedia ก็ยังยินดีรับสกุลเงินนี้สำหรับการชำระราคา รวมถึงในร้านรวงทั่วไปเช่น ร้านทำผม ช่างต่าง ๆ ก็ยังมีคนที่รับ Bitcoin เพื่อจ่ายแทนค่าจ้างเช่นเดียวกัน
2. Bitcoin ทำงานอย่างไร
โดยพื้นฐานแล้ว Bitcoin เป็นข้อมูลดิจิทัลที่เก็บรักษามูลค่าเอาไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลที่อยู่ในแอปพลิเคชั่นหรือคอมพิวเตอร์
ในกรณีปกติผู้คนสามารถโอนมูลค่าของ Bitcoin ให้แก่กันด้วยการโอนเหรียญไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัลของคนอื่น ซึ่งทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นจะถูกเก็บรักษาเอาไว้ในบล็อกที่เป็นหน่วยย่อย ๆ ของระบบบล็อกเชนที่สนับสนุนด้วยผู้ใช้งานจำนวนมากมายในระบบนิเวศน์ที่อยู่เบื้องหลัง
ด้วยระบบบล็อกเชนนี้ทำให้การทำธุรกรรมไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางในการยืนยันธุรกรรม แต่ใช้การประมวลผลของบล็อกเชนที่ได้รับฉันทามติจากผู้ที่อยู่ในระบบ ทั้งยังเป็นระบบที่มีความปลอดภัย แฮ็กได้ยาก และไม่มีการยืนยันธุรกรรมซ้ำ (Double Spending) อย่างเด็ดขาด ทำให้ผู้ใช้ไว้วางใจได้ในระดับสูง
นอกจากนี้ธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนระบบบล็อกเชนนี้ยังถูกเก็บรักษาไว้ทั้งหมด ทำให้การตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังเป็นสิ่งที่ทำได้ Bitcoin จึงได้ชื่อว่าเป็นสกุลเงินที่โปร่งใสตรวจสอบได้ในอีกทางหนึ่ง
3. Bitcoin ใช้ประโยชน์ด้านใดได้บ้าง

หลังจากวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ในปี 2008 ที่ภายหลังจากนั้นประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลกอย่างอเมริกามีการแทรกแซงระบบการเงินจนมีผลให้สกุลเงินสำคัญต่อการลงทุนอย่างดอลลาร์เสื่อมค่าลงอย่างมาก นักลงทุนจึงเริ่มกระหายที่จะแสวงหาสกุลเงินที่จะไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจใด ๆ เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุน
ทั้งหมดนี้กลายมาเป็นเงื่อนไขในการมองมาที่ Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ ที่เพิ่งเริ่มถือกำเนิดและเติบโตภายหลังจากน้ันอย่างรวดเร็ว เนื่องจากจุดเด่นที่เราจำแนกออกได้ดังนี้
- การทำธุรกรรมด้วย Bitcoin เมื่อยืนยันแล้วไม่สามารถเปลี่ยนกลับหรือยับยั้งได้
หนึ่งในคุณสมบัติหลักของเทคโนโลยีบล็อกเชนคือการคงรูป ซึ่งทุกข้อมูลที่ได้รับการยืนยันและรับเข้าไปในระบบแล้วจะไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้ เช่นเดียวกับการทำงานของ Bitcoin ที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้
นั่นคือเมื่อธุรกรรมบน Bitcoin ได้รับการยืนยันแล้วจะไม่สามารถยับยั้ง ลบ หรือแก้ไขข้อมูลใด ๆ ได้อีก ไม่ว่าการแก้ไขนั้นจะได้รับการร้องขอจากตัวกลางที่มีอำนาจอย่างรัฐบาล หรือ ธนาคารกลางก็ตาม ดังนั้นเมื่อเกิดการโอนเงินแล้วก็จะไม่สามารถดึงเงินกลับมาได้ และผู้ใช้ก็สามารถมั่นใจได้ว่าธุรกรรมที่ยืนยันแล้วจะเกิดขึ้นจริง ๆ โดยไม่มีการฟรีซเหมือนที่อาจเกิดขึ้นกับสกุลเงินเฟียซอื่น ๆ
- Bitcoin มีระบบการทำธุรกรรมที่เป็นส่วนตัวและปลอดภัยสูง
การทำธุรกรรมบน Bitcoin มีลักษณะกึ่งปกปิดกึ่งเปิดเผย นั่นคือไม่เชิงปกปิดทั้งหมด เนื่องจากแต่ละธุรกรรมจะถูกระบุตัวตนด้วยที่อยู่บนบล็อกเชน (Blockchain Address) ซึ่งผู้ใช้หนึ่งรายสามารถมีที่อยู่นี้ได้มากกว่าหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้แต่ละคนจะสมัครบัญชีไว้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งแน่นอนว่าด้วยการระบุตัวตนของเจ้าของธุรกรรมแบบนี้ ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบธุรกรรมได้ แต่ไม่สามารถบอกตัวตนเจ้าของธุรกรรมได้จริง ๆ
และด้วยการทำธุรกรรมด้วย Bitcoin ไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเช่น เลขบัตรเครดิต เลขบัญชี ฯลฯ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะถูกขโมยหรือโจรกรรมข้อมูลต่ำ มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยสูง
- Bitcoin ไม่มีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ อย่างที่ธนาคารเรียกเก็บ
แม้ว่าปกติแล้วตัวกลางซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ จะมีค่าธรรมเนียมสำหรับ ผู้โอน และผู้รับโอน และบางครั้งก็อาจจะมีค่าธรรมเนียมการฝาก-ถอนเงิน แต่ผู้ใช้ Bitcoin ก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เหมือนการใช้สกุลเงินเฟียซที่ต้องมีค่าธรรมเนียมให้กับธนาคารตัวกลาง เช่น ค่าธรรมเนียมการรักษาบัญชี ค่าธรรมเนียมการใช้งานขั้นต่ำ ค่าธรรมเนียมรายปี ฯลฯ
- Bitcoin มีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่ำแม้ว่าจะเป็นธุรกรรมการโอนเงินระหว่างประเทศ
จริงอยู่ที่ปัจจุบันค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม Bitcoin มีราคาแพงขึ้นเนื่องจากระบบที่ต้องรองรับปริมาณการทำธุรกรรมจำนวนมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว และไม่อาจกล่าวได้ว่าค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมของ Bitcoin นั้นต่ำจนแทบไม่มีอีกต่อไป
แต่อย่างไรก็ดีสำหรับการทำธุรกรรมโอนเงินข้ามประเทศ การเลือกใช้ Bitcoin ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจาก Bitcoin สามารถใช้งานได้ทั่วโลกในระบบเดียว ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมโอนเงินต่างประเทศที่มีเรทสูงจากตัวกลางเช่น Swift Transfer ทั้งยังสามารถโอนเงินได้รวดเร็วกว่ามากอีกด้วย
4. จุดอ่อนของ Bitcoin

เป็นความจริงที่การเกิดขึ้นของ Bitcoin เป็นเหมือนนวัตกรรมที่เป็นโฉมหน้าใหม่ของแวดวงการเงินการลงทุน แต่นวัตกรรมตัวนี้ก็มาพร้อมกับข้อจำกัดที่นักลงทุนควรต้องตระหนักเช่นกัน
- Bitcoin ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ระบบของ Bitcoin กินไฟสูงเทียบเท่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศเนเธแลนด์ในรอบหนึ่งปี และมีเพียง 30 ประเทศในโลกเท่านั้นที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงกว่า และปริมาณไฟฟ้าที่คอมพิวเตอร์ใช้ขุด Bitcoin เทียบเท่าการใช้พลังงานไฟฟ้ากว่า 1% ของปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดในโลกทีเดียว
- Bitcoin ไร้การกำกับดูแลและไม่มีสินทรัพย์หนุนหลัง
เนื่องจากสกุลเงินดิจิทัลถูกใช้ในภาคเอกชนที่อยู่นอกเหนือการควบคุมตรวจสอบของหน่วยงานรัฐ ทำให้ Bitcoin ไม่ได้ถูกควบคุมกำกับดูแลเหมือนผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบดั้งเดิมอื่น ๆ ซึ่งนั่นหมายความว่า Bitcoin ยังสามารถถูกนำไปใช้ฉ้อโกงนักลงทุนที่ไม่ระมัดระวังได้ และจากการศึกษาในปี 2019 พบว่าผู้ใช้ Bitcoin กว่า 25% มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย และ 46% ของธุรกรรม Bitcoin ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายเช่นเดียวกัน
5. Bitcoin ปลอดภัยต่อการลงทุนหรือไม่
การเข้ารหัสที่เป็นพื้นฐานการออกแบบระบบของ Bitcoin นั้นมีพื้นฐานมาจากอัลกอริทึ่ม SHA-256 ที่คิดค้นขึ้นโดยหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา ซึ่งการจะแฮ็กระบบนั้นมีความยากจนเรียกว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ก่อนหน้านี้อาจมีข่าวเว็บไซต์ซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลถูกแฮ็ก และเหล่าแฮ็กเกอร์ก็ขโมย Bitcoin ที่มีอยู่ในระบบไป อย่างหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ Bitcoin จัดเก็บอยู่บนกระเป๋าเงินของทางเว็บไซต์ผู้ให้บริการ ซึ่งหากมีรูรั่วก็สามารถถูกโจมตีได้ แต่นั่นเป็นการแฮ็กบนเว็บไซต์ ไม่ใช่บนเครือข่าย Bitcoin
สำหรับการแฮ็กบนเครือข่าย Bitcoin นั้นตามทฤษฎีแล้วก็พอจะมีทางที่เป็นไปได้ นั่นคือการเข้าควบคุมหน่วยเล็ก ๆ บนเครือข่าย (โหนด) ให้เกินกว่า 50% และผู้ที่สามารถควบคุมโหนดส่วนใหญ่ของระบบได้ก็สามารถควบคุมการสร้างฉันทมติของเครือข่ายได้
สิ่งหนึ่งที่ต้องโน้ตไว้นั่นก็คือ แม้ในทางทฤษฎีการแฮ็กระบบ Bitcoin นั้นมีความเป็นไปได้ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ในทางปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากปัจจุบันโหนดบนเครือข่าย Bitcoin มีนับไม่ถ้วน และการแฮ็กเข้าระบบเพื่อควบคุมโหนดเกิน 50% ของระบบในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้
6. Bitcoin เป็นการฉ้อโกงหรือไม่
หลายครั้งที่เรามักได้ยินการฉ้อโกง หรือกลโกงที่ทำให้เหล่านักลงทุน Bitcoin ต้องสูญเสียเงินทุนหรือสูญเสีย Bitcoin ที่มีในกระเป๋าเงินไป ซึ่งแน่นอนว่าการฉ้อโกงนั้นเกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบในทุกสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยม และเกิดขึ้นมาแล้วมากมายไม่เฉพาะกับ Bitcoin แต่กลโกงเหล่านี้เกิดขึ้นจากตัวกลางหรือมือที่สามซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลงทุนหรือซื้อขายเหรียญ Bitcoin โดยตรง
ลำพังการซื้อขาย Bitcoin อย่างเดียวนั้น นักลงทุนมีโอกาสสูญเสียเงินลงทุนได้มากเท่ากับราคาของ Bitcoin ที่แกว่งตัวขึ้นลง แต่เป็นการยากที่สินทรัพย์จะกลายเป็นศูนย์ ซึ่งหากลงทุนแล้วเงินหายทั้งหมดมีโอกาสที่นั่นจะไม่ใช่การลงทุนใน Bitcoin แต่เป็นการฉ้อโกงที่มาได้ในหลายรูปแบบ
ตัวอย่างเช่น
- ชวนลงทุนใน Bitcoin โดยโอนเงินไปยังตัวกลางที่ไม่มีที่มา ทำให้เสี่ยงต่อการเชิดเงินหนี และสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด
- การหลอกขโมยข้อมูล เช่น private key ที่เป็นเสมือนเลขบัตรเครดิต ทำให้มีโอกาสที่บัญชีจะถูกแฮ็กและสูญเสียเหรียญที่มีทั้งหมดในกระเป๋าเงินออกไปได้
- การโฆษณาเชิญชวนให้นำเหรียญไปฝากยังตัวกลางที่อาจเป็นที่รู้จักแต่ไม่สามารถตรวจสอบและไม่มีหน่วยงานควบคุมกำกับ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนในอัตราสูง แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้ให้บริการก็ปิดเว็บไซต์หายไปพร้อมกับเหรียญที่นักลงทุนโอนเข้าไปเพื่อลงทุน
แต่ทั้งหมดนี้มักเกิดขึ้นจากตัวกลางในการให้บริการหรือบุคคลที่สาม โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่าย Bitcoin ทั้งสิ้น
7. คุณเหมาะกับการลงทุนใน Bitcoin หรือไม่
อย่างแรกที่ต้องทำความเข้าใจนั่นคือ เราไม่แนะนำให้คุณนำเงินที่เก็บมาทั้งชีวิตมาลงทุนใน Bitcoin หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ และทางที่ดีที่สุดคือให้มองมันเป็นการลงทุนที่กึ่ง ๆ ไปทางการพนันเล็ก ๆ
ทั้งนี้เนื่องจาก Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง การลงทุนด้วยเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจสามารถสร้างผลตอบแทนจำนวนมากได้ แต่ก็สามารถสูญเสียเป็นจำนวนมากได้เช่นกัน ดังนั้น จึงควรใช้เงินลงทุนไม่มาก
ละก่อนที่คุณจะนำเงินมาลงทุนใน Bitcoin ควรเข้าใจว่าการรักษาเงินต้นนับเป็นจุดประสงค์หลักในการลงทุนนี้ หลังจากนั้นเรามาดูโอกาสและความเสี่ยงสำหรับการลงทุนนี้กัน
โอกาสของการลงทุนใน Bitcoin คือ โอกาสในการสร้างเงินลงทุนให้เติบโตเป็นจำนวนมาก นักลงทุนที่ซื้อ Bitcoin เก็บไว้มักคาดการณ์ว่า Bitcoin จะได้รับความนิยมสูงขึ้นในอนาคต มีผู้ใช้งานมากขึ้น ได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้น และมีคนมากมายที่จะตามเข้ามาสู่ตลาดนี้ และนั่นเป็นวิธีที่ราคา Bitcoin จะขยับสูงขึ้นได้
สหรับความเสี่ยง ราคาของ Bitcoin มีความผันผวนสูง การเปลี่ยนแปลงของราคาในรอบเดือนของ Bitcoin เมื่อเทียบกับดอลลาร์เปลี่ยนแปลงได้สูงถึง 90% จากการคำนวณราคาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับสินค้าทางการเงินอื่น ๆ เช่น SP500 ที่เปลี่ยนแปลงเพียง 15.3% และทองคำที่เปลี่ยนแปลง 13.4% ก็นับว่า Bitcoin มีความผันผวนที่สูงกว่ามาก
หากจะถามว่าความผันผวนเหล่านี้จะมีผลอย่างไรต่อนักลงทุน เราต้องมาดูช่วงของผลตอบแทน นับถึงเดือนธันวาคม 2020 เดือนที่ Bitcoin ให้ผลตอบแทนสูงสุดนั้นสามารถให้ผลตอบแทนได้สูงถึง 76.1% ขณะที่ผลตอบแทนต่ำสุดก็สามารถติดลบได้ถึง 37.6% ดังนั้นช่วงเวลาในการเข้าลงทุนจึงสำคัญต่อการลงทุนใน Bitcoin ได้สูงเช่นเดียวกัน
ซึ่งหากลองพิจารณาดูแล้วคุณสามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้สูง ทนทานต่อความผันผวนระดับสูงที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ รวมถึงสามารถจัดการเงินลงทุนได้อย่างดี การลงทุนใน Bitcoin ก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน
อย่างไรก็ดี แม้หลายฝ่ายจะกล่าวว่า Bitcoin เป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง และสูงยิ่งกว่าการทำธุรกรรมการเงินกับธนาคารแบบดั้งเดิม แต่กระเป๋าเงิน Bitcoin แบบ Hot Wallet ก็ยังคงเป็นเป้าหมายการโจมตีของแฮ็กเกอร์ได้เสมอ และเดือนพฤษภาคม 2019 Bitcoin กว่า $40 ล้านได้ถูกโจรกรรมไปจากบัญชีกระเป๋าเงินของผู้มีความมั่งคั่งสูง ที่มีบัญชีอยู่กับเว็บซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลชื่อดังอย่าง Binance ดังนั้นการลงทุนใน Bitcoin ที่ต้องมีการเก็บรักษาเหรียญไว้เองจึงควรต้องระมัดระวังปัจจัยอย่างการถูกแฮ็กด้วยเช่นกัน (แต่ในกรณีนี้บริษัท Binance ได้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว)
8. 3 วิธีในการลงทุน Bitcoin
สำหรับวิธีการลงทุนใน Bitcoin ปัจจุบันก็มีหลากหลายวิธีให้นักลงทุนได้เลือกมากขึ้น ไม่เฉพาะว่าจะต้องขุดเหรียญและเก็บไว้เองเหมือนช่วงเริ่มแรก แต่ยังสามารพซื้อขายบนเว็บแลกเปลี่ยน รวมทั้งเทรดบนความเปลี่ยนแปลงของราคาได้โดยที่ไม่ต้องถือเหรียญ Bitcoin แม้สักเหรียญเลยก็ได้
8.1 การขุด (Mining)

การขุดเป็นวิธีการดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมสูงในช่วงแรก ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคา Bitcoin ปรับตัวสูง เนื่องจากเป็นวิธีที่ทำให้นักขุดได้เหรียญมาจากการทำงานให้ระบบซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตเหรียญ และสามารถถือไว้รอขายในราคาสูงได้
- ขั้นตอนการขุดเหรียญ
นักขุดจะต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงเข้ากับเครือข่าย Bitcoin และแข่งขันกันแก้สมการทางคณิตศาสตร์เพื่อให้ได้รับเลือกเป็นผู้ยืนยันธุรกรรม ซึ่งจะได้เหรียญ Bitcoin จำนวหนึ่งกลับมาเป็นรางวัล
ทั้งนี้การขุด Bitcoin เป็นกิจกรรมที่ต้องมีการแข่งขัน ดังนั้นยิ่ง Bitcoin มีราคาสูง ก็จะยิ่งดึงดูดให้ผู้คนเข้ามร่วมวงขุดมากขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นคอมพิวเตอร์หรือเครื่องขุดที่มีประสิทธิภาพธรรมดา ๆ จึงมีโอกาสแข่งชนะต่ำมาก ปัจจุบันการขุดจึงพัฒนาขึ้นเป็นหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ Cloud Mining, Pool Mining ที่แม้นักขุดจะไม่ได้มีอุปกรณ์คุณภาพสูงก็สามารถเข้าร่วมแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งก้อนนี้ได้
- ข้อดีของการขุด
การขุดทำให้นักขุดได้ครอบครองเป็นเจ้าของเหรียญจริง ๆ และสามารถเก็บไว้เพื่อเลือกจุดขายได้ตามราคาที่ตัวเองต้องการ ซึ่งหากไม่รวมค่าไฟฟ้า ค่าเสียเวลา และค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ เงินทุนที่ได้จากการขายเหรียญ Bitcoin ก็สามารถนับเป็นผลกำไรจากการขุดได้ทั้งหมด
- ข้อเสียในการขุด
1) การแข่งขันสูง เนื่องจากปัจจุบันราคา Bitcoin ปรับตัวสูงขึ้นมากทำให้มีผู้เข้าร่วมการขุดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงจะผลักดันให้นักขุดต้องอัปเกรดอุปกรณ์เพื่อแจ่งขันอย่างเข้มข้นขึ้น แต่ยังจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามาก ทำให้ผลตอบแทนที่ได้ในบางครั้งก็ไม่คุ้มกับต้นทุนในการขุด
2) ใช้เวลานานกว่าจะได้เป็นเจ้าของเหรียญ และด้วยต้นทุนการขุดที่สูงทำให้นักลงทุนอาจต้องรอเวลาสำหรับการขายเหรียญให้ได้กำไร
3) มีความเสี่ยงในการเก็บรักษาเหรียญ เหรียญที่ได้จากการขุดจำเป็นต้องเก็บรักษาไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัล ซึ่งยังคงมีความเสี่ยงของการถูกแฮ็กกระเป๋า รวมทั้ง ความเสี่ยงที่จะลืมรหัสและทำให้สูญเสียเหรียญทั้งหมดโดยไม่มีใครช่วยได้
8.2 การซื้อเหรียญ (Exchange)
วิธีนี้ช่วยลดขั้นตอนให้นักลงทุนสามารถเป็นเจ้าของ Bitcoin ได้ด้วยขั้นตอนและเวลาที่สั้นลง ซึ่งทำได้โดยการจ่ายเงินซื้อมันมา การซื้อขาย Bitcoin มีวิธีทำกำไรไม่ซับซ้อน นั่นก็คือการซื้อเหรียญให้ได้ในราคาถูก และขายออกไปในราคาแพง ส่วนต่างของราคาซื้อขายก็คือกำไรที่จะได้รับ
- ขั้นตอนการซื้อเหรียญ
1) เลือกแพลตฟอร์มการซื้อขาย ปัจจุบันทรแพลตฟอร์มซื้อขายเหรียญดิจิทัลมากมายซึ่งสามารถใช้ซื้อขาย Bitcoin ได้เช่นกัน และปัจจัยหลักที่คสรคำนึงถึงคือความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ และลงทะเบียนเพื่อเปิดบัญชีได้ทันที
2) ฝากเงิน เมื่อได้บัญชีซื้อขายแล้ว นักลงทุนสามารถโอนเงินเข้ามาสำหรับทำการซื้อขาย ซึงมีวิธีการหลากหลายให้เลือก เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร การตัดบัตรเครดิต/เดบิต หนือแม้แต่ช้องทางการโอนเงินอื่นๆ เช่น paypal
3) ซื้อเหรียญ หลังจากนั้นนักลงทุนสามารถใช้บัญชีและเงินที่โอนมาส่งคำสั่งซื้อ Bitcoin ได้ทันที
4) เก็บเหรียญ เมื่อคำสั่งซื้อได้รับการยืนยัน ก็สามารถเก็บรักษาหรือโอนไปยังกระเป๋าเงินอื่นได้ทันที
- ข้อดีของการซื้อเหรียญ
– ใช้เวลาสั้นลงเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของเหรียญ ไม่จำเป็นต้องลงทุนอุปกรณ์หรือแข่งแก้สมการกับนักขุดอื่นๆ ก็สามารถเป็นเจ้าของเหรียญได้
– นักลงทุนได้เป็นเจ้าของเหรียญจริงๆ และสามารถได้ดอกผลจากการถือเหรียญเช่น การทำแอร์ดรอป
- ข้อเสียของการซื้อเหรียญ
– มีความเสี่ยงในการเก็บรักษา เนื่องจากการเก็บเหรียญ Bitcoin จำเป็นต้องเก็บรักษาไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัล ทำให้มีความเสี่ยงในการโดนแฮ็กและขโมยเหรียญไปทั้งหมดได้
– มีความเสี่ยงจากตัวกลางให้บริการ เนื่องจากการซื้อขายเหรียญ Bitcoin เป็นการซื้อขายผ่านตัวกลาง โดยที่นักลงทุนจะต้องโอนเงินไปก่อน และต้องฝากเหรียญไว้ด้วย ซึ่งหากตัวกลางไม่น่าเชื่อถือก็สามารถปิดบริการและหายไปพร้อมกับเงินลงทุนทั้งหมดได้
– นักลงทุนอาจต้องใช้เวลานานเพื่อรอให้ถึงระดับราคาที่ต้องการ เนื่องจากการทำกำไรทำได้เฉพาะทิศทางราคาขาขึ้นเท่านั้น
8.3 การเก็งกำไร (Speculation)

วิธีนี้เป็นการมุ่งหากำไรจากส่วนต่างราคาซื้อขายของเหรียญ Bitcoin ทำให้นักลงทุนสามารถฉวยโอกาสจากความผันผวนของราคาเพื่อสร้างผลกำไรได้แม้จะไม่มีเหรียญ Bitcoin ในมือก็ตาม
ปัจจุบันตราสารที่นักลงทุนนิยมนำมาใช้ในการเก็งกำไรบน Bitcoin นั้นมีไม่มาก และ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง หรือ Contract for Difference (CFD) เป็นหนึ่งในนั้น
สัญญาซื้อขายส่วนต่าง CFD เป็นตราสารอนุพันธ์ชนิดหนึ่งที่อนุญาตให้นักลงทุนใช้อัตราทดเข้ามาช่วยขยายผลกำไร และคำนวณผลกำไรจากส่วนต่างราคาซื้อขาย ดังนั้นตราสารชนิดนี้จึงสามารถสร้างผลกำไรให้กับนักลงทุนได้ทั้งทิศทางราคาขาขึ้นและขาลง ด้วยการใช้เงินทุนไม่มาก
1) ลงทะเบียนเพื่อเปิดบัญชีซื้อขาย ขั้นตอนนี้แม้จะดูง่ายเนื่องจากการลงทะเบียนกับโบรกเกอร์นั้นทำผ่านอินเตอร์เน็ตและใช้เวลาไม่นาน แต่นักลงทุนก็จำเป็นต้องเลือกโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือ ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเงินทุนจะถูกเก็บรักษาอย่างดี
และเมื่อบัญชีได้รับการอนุมัติ นักลงทุนก็สามารถใช้บัญชีนี้เพื่อเข้าไปทำรายการต่อไปได้ทันที
2) โอนเงินเข้าบัญชี ขั้นตอนนี้นักลงทุนจำเป็นต้องโอนเงินเข้าไปฝากไว้ที่โบรกเกอร์เพื่อใช้สำหรับชำระการทำธุรกรรม ซึ่งสามารถใช้วิธีได้หลากหลาย เช่น โอนผ่านธนาคาร ตัดบัตรเครดิต/เดบิต หรือการชำระเงินออนไลน์อื่น ๆ เช่น paypal
3) เริ่มเทรด หลังจากนั้นนักลงทุนสามารถเริ่มการเทรดได้ทันที ซึ่งการเทรด CFD นั้นมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน นั่นคือเริ่มจากการเปิดสัญญา หากเปิดสัญญาสถานะ Long จะใช้สำหรับทำกำไรในทิศทางราคาขาขึ้น ขณะที่สัญญาสถานะ Short เหมาะกับการทำกำไรในทิศทางราคาขาลง และส่วนต่างของราคานี้เองที่จะกลายมาเป็นผลกำไรของการลงทุนนี้
- ข้อดีของการเก็งกำไร
– ใช้เงินลงทุนน้อย
เนื่องจากการซื้อขาย Bitcoin ด้วยสัญญาซื้อขายส่วนต่างไม่จำเป็นต้องวางเงินเต็มจำนวน ทำให้นักลงทุนที่มีเงินทุนไม่มากสามารถเข้าถึงการลงทุนใน Bitcoin ได้ หากปริมาณซื้อขายยิ่งน้อย เงินทุนตั้งต้นยิ่งต่ำ ตอนนี้บางโบรกเกอร์อนุญาตให้ซื้อขายขั้นต่ำ 0.01 ล็อต
– เป็นการเทรดที่ใช้เลเวอเรจหรืออัตราทด
ช่วยขยายผลกำไรให้กับเงินลงทุน ทำให้แม้นักลงทุนจะใช้เงินลงทุนไม่มากก็สามารถทำกำไรในจำนวนมากได้ ตอนนี้อัตราเลเวอเรจในการเทรดบิทคอยน์ของโบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะเป็น 1:2, 1:5 หรือ 1:10
– ลดความเสี่ยงด้านการถือครองเหรียญ
เนื่องจากการเทรดด้วยสัญญาซื้อขายส่วนต่างไม่มีความจำเป็นต้องถือครองเหรียญ จึงไม่มีความเสี่ยงที่จะโดนแฮ็กหรือโจรกรรมเหรียญ
– ต้นทุนค่าธรรมเนียมการซื้อขายต่ำ
ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยก็กลายเป็นผลกำไรได้ง่าย หลายโบรกเกอร์ไม่มีการคิดค่าคอมมิชชั่น มีเพียงสเปรดราคาเล็ก ๆ น้อย ๆ และหากนักลงทุนไม่ได้ถือสถานะข้ามคืนก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมการถือสถานะข้ามคืน จึงเหมาะกับการซื้อขายที่ใช้เวลาสั้น และมีการซื้อขายบ่อยครั้งเพื่อสะสมกำไร
– เทรดได้ทั้งราคาขาขึ้นและขาลง ไม่ว่าราคาบิทคอยน์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลง ก็สามารถเปิดคำสั่งเพื่อเก็งกำไรได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
- ข้อเสียของการเก็งกำไร
– ความเสี่ยงจากการใช้เลเวอเรจ การใช้เลเวอเรจนั้น ด้านหนึ่งเป็นการขยายความสามารถในการทำกำไร แต่อีกด้านก็สามารถขยายขนาดผลขาดทุนได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรใช้อย่างระมัดระวัง
– ยังคงมีความเสี่ยงของตัวกลาง ซึ่งหากนักลงทุนเลือกเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือก็อาจถูกฉ้อโกงยักยอกเงินลงทุนไปทั้งหมดได้
วันนี้เราได้อธิบายแล้วว่า Bitcoin คืออะไร, ทำงานอย่างไร, ใช้ประโยชน์ด้านใดได้บ้างและมีจุดอ่อนอย่างไรรวมทั้งแนะนำ 3 วิธีในการลงทุน Bitcoin ด้วยเพื่อช่วยนักลงทุนเข้าใจโลกของสกุลเงินดิจิตอลและติดตามกระแสสกุลเงินดิจิตอลได้
FAQ(คำถามที่พบบ่อย)