แม้การเล่นหุ้นในบ้านเราจะสร้างนักลงทุนหุ้นคุณค่าได้หลายต่อหลายคน แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าในตอนนี้ความ sexy ของตลาดหุ้นไทยได้ลดเลเวลลงมาไม่น้อย บ้างก็เห็นตรงกันด้วยเหตุผลความผันผวนจากความไม่มั่นคงของสภาพเศรษฐกิจในบ้านเรา บ้างก็บอกเพราะโครงสร้างของตลาดทุนและตลาดเงินที่ไม่ได้เอื้อต่อการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากชาวต่างชาติรวมถึงชาวไทยมายังตลาดหลักทรัพย์ นี่จึงเป็นเหตุผลที่แข็งแกร่งสำหรับนักเทรดบางท่านที่กำลังขยับขยายพอร์ตการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น ด้วยปัจจัยบวกในแง่ของการลดความเสี่ยงและการเพิ่มโอกาสด้านผลตอบแทนที่มากขึ้น
ดังนั้นวันนี้เราจะพูดคุยกันในเรื่องการเล่นหุ้นต่างประเทศ ข้อดีและวิธีการลงทุน รวมถึงตัวอย่างหุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจอีกด้วย
เหตุผลน่าคิด…ทำไมต้องเทรดหุ้นต่างประเทศ?
1. เพิ่มโอกาสการลงทุน สร้างผลตอบแทนที่มากกว่า
นักลงทุนไทยสามารถเพิ่มโอกาสการลงทุนจากการเล่นหุ้นต่างประเทศ เพราะนอกจากการลงทุนในหุ้นไทยแล้ว คุณจะสร้างผลตอบแทนจากทั้งสองตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ
2. สร้างการเติบโตระยะยาว ด้วยกระแสทางเศรษฐกิจ
จะสังเกตได้ว่าบริษัทส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นต่างประเทศจะที่มี Most Active Value หรือ หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดจะอยู่ที่บริษัทเทคโนโลยี หรือ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม รวมไปถึงธนาคารการเงินต่างๆ นี่จึงเป็นสัญญาณชั้นยอดที่พอร์ตการลงทุนของคุณจะประดับด้วยหุ้นที่สร้างการเติบโตระยะยาว
3. เป็นการกระจายความเสี่ยงการลงทุนได้ทั่วโลก
จากการลงทุนได้หลากหลายภูมิภาค และหลากหลายกลุ่มธุรกิจ ส่งผลให้คุณสามารถใช้กลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงเพื่อบริหารพอร์ตได้ เพราะตลาดหุ้นต่างประเทศที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในหุ้นถือว่าหลากหลายมาก ตัวอย่างเช่น Nasdaq, Hong Kong Stock Exchange, New York Stock Exchange เป็นต้น
4. ตลาดหุ้นไทยอาจผันผวนเกินไป?
จากความกังวลที่สะสมมาตั้งแต่ก่อนยุค Covid-19 จึงอาจทำให้นักลงทุนไทยเริ่มมองหากลยุทธ์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงเมื่อตลาดหุ้นไทยอยู่ในสภาวะผันผวน โดยสาเหตุหลักๆ มากจากเราอาจไม่มีหุ้นที่เติบโตล้อไปกับพื้นฐานของเศรษฐกิจจริงๆ ? นอกจากนี้อาจเป็นเพราะธุรกิจที่มุ่งเน้นเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างจริงจังมีน้อย ดังนั้นเพื่อรอเวลาให้ฐานของเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง คุณอาจเข้าไปลงทุนในหุ้นตลาดต่างประเทศได้
5. เมื่อราคาลงมาต่ำมากๆ นี่คือสัญญาณของการเข้าซื้อหรือเปล่า?
จากสถาการณ์ covid-19 ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทหลาย sector ลดลงมาต่ำมากๆ หากเป็นภาษาของนักลงทุนก็คือมี P/E ที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยตลาดหุ้นในต่างประเทศมีหลายธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตที่สูงมากๆ เมื่อเทียบกับบ้านเราอย่างเช่นกลุ่มเทคโนโลยี ดังนั้นในตอนนี้ที่ราคาค่อนข้างลงมาต่ำ นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อ เพื่อรับมาร์จิ้นในอัตราที่สูง
สรุปความเคลื่อนไหวการเทรดหุ้นต่างประเทศง่ายๆ ที่ต้องจำให้แม่น
1.พยายามลงทุนเป็นแบบ sector
ลงทุนในกลุ่มที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจาก covid-19 มากนัก เช่น กลุ่มเทคโนโลยี ถึงแม้จะได้รับผลกระทบและราคาตกไปเยอะมาก แต่คาดว่าเมื่อได้รับวัคซีนได้เปิดประเทศ ราคากลับมาแน่ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า เพราะพื้นฐานค่อนข้างดี เช่น การท่องเที่ยว โรงแรม
2.ลงทุนในกลุ่มที่มีกำไรเป็นบวก
ในไตรมาสที่ผ่านมา เช่น ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ เพราะเมื่อมีการประกาศความคืบหน้าวัคซีน ราคากลุ่มพวกนี้จะขึ้น
3.โดยภาพรวมกำไรต่อหุ้น
ใน Q1-Q2 ปีหน้ามีแนวโน้มกลับมาบวก เพราะฐานปีนี้ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นเมื่อกำไรดีขึ้นส่งผลให้เม็ดเงินของนักลงทุนน่าจะกลับมา
4.เน้นการลงทุนไปที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และ Health care
เช่น Tesla, Facebook, Microsoft, Johnson and Johnson, Pfizer เป็นต้น เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านบริษัทโตมาก โตปีละ 18% ผลตอบแทนรวม 120% โดยถือว่าไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับผลตอบแทน กำไรที่เติบโต 20% ในภาพใหญ่
5.ลงทุนต่างประเทศให้เน้นไปที่จีนกับสหรัฐ
เพราะมี new economy บริษัทยักษ์ใหญ่อยู่จำนวนมาก รวมทั้งกลุ่ม old economy ก็มีพื้นฐานดีอยู่แล้ว ถ้ามีการฉีดวัคซีนก่อนก็น่าจะกลับมาก่อน
วิธีการเล่นหุ้นต่างประเทศมีอะไรบ้าง?
การเล่นหุ้นต่างประเทศ มีความคล้ายคลึงกันกับการเล่นหุ้นในไทย โดยมุ่งเน้นสร้างโอกาสการเติบโตจากตลาดหุ้นต่างประเทศ เช่น ตลาด Nasdaq, ตลาด London, ตลาด Shenzhen และยังมีตลาดอื่นๆ ที่น่าสนใจอยู่มาก โดยวิธีการเล่นหุ้นต่างประเทศที่นิยมจะมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่หลายท่านคุ้นเคยกันดี ส่วนอีกรูปแบบจะเป็นการเทรดหุ้นด้วยเครื่องมือทางการเงิน CFD(Contract for Difference) ซึ่งจะเป็นการซื้อขายสัญญาซื้อขายส่วนต่างแทนการซื้อขายตัวหุ้นจริง
หุ้นต่างประเทศที่น่านำเข้าพอร์ต
1. Apple – AAPL
จากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของยอดขายตระกูลสมาร์ทโฟน iPhone 12 ที่ทำได้สูงถึง $111.4 billion คิดเป็นร้อยละ 21 สูงกว่าปีที่แล้ว โดยก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่าจะสามารถทำยอดขายได้เกิน 80 ล้านเครื่อง ข่าวเหล่านี้เป็นปัจจัยเชิงบวกที่ผลักดันราคาหุ้นของ Apple ไปสูงกว่า $121.03
2. Microsoft – MSFT
กว่า 40 ที่ผู้ใช้บริการทั่วโลกต่างให้ความไว้วางใจแก่ Microsoft แม้ผู้ให้บริการรายสำคัญอย่าง Apple ที่ออกระบบปฏิบัติการสุดล้ำออกมาในรูป Smart Phone และ MacBook แต่ Microsoft ก็มีส่วนแบ่งทางการตลาดทั่วโลกสูงถึง 76.56% ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ $235.75 และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2021 นี้อัตราส่วนทางการเงินของ Microsoft จะเพิ่มจาก $6.78 เป็น $7.34 อีกด้วย
3. Amazon – AMZN
หลังจากเจฟฟ์ เบโซส ประกาศอำลาตำแหน่ง CEO ของ Amazon นักลงทุนหลายท่านกังวลเรื่องราคาหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบ แต่ตรงกันข้ามเมื่อ Amazon ประกาศรายได้ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากนี้สูงถึงกว่าแสนล้านดอลลาร์ โดยบุคคลที่รับช่วงต่อจากเขาก็ไม่ใช่ใครไหนไกล แต่เป็นมือขวาของเจฟฟ์ ซึ่งตอนนี้ Amazon กำลังวางกลยุทธ์ใหม่เพื่อผลักดัน SME และลงทุน สร้างความยั่งยืนบนนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ ดังนั้นลองเดาดูกันว่าราคาหุ้นปัจจุบันที่อยู่ที่ $3089.49 จะขยับขึ้นไปอีกเท่าไหร่?
4. Facebook – FB
เฟซบุ๊กให้บริการเป็นตัวกลางของเครือค่ายสังคมออนไลน์ ที่เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์ การเงิน การตลาด ข่าวสาร และอื่นๆ เข้ามาไว้ด้วยกัน ในสถานการณ์ Covid-19 แบบนี้ เฟซบุ๊กถือเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ขาดไม่ได้ ซึ่งได้ส่งเสริมนโยบายลดการรวมกลุ่มได้อย่างดีเยี่ยม ปัจจุบันนี้หุ้นเฟซบุ๊กมีราคาอยู่ที่ $268.40 และพยายามจะสร้าง community ในทุกๆ ปัจจัยที่ผู้ใช้บริการต้องการอย่างเช่นด้านการเงิน นี่จึงเป็นโอกาสดีในระยะยาวถ้าจะเข้าไปลงทุนในหุ้นเฟซบุ๊ก
5. Tesla – TSLA
บริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกอย่าง Tesla ได้เดินหน้าพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยนี่นับเป็นความหวังใหม่ของประชาคมโลกที่เฝ้าดูนวัตกรรมของ CEO คุณอีลอน มักส์ ที่จะขับเคลื่อนให้ผู้ใช้บริการสามารถฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้พร้อมๆ กันได้ แม้จะมีข่าวด้านปัญหาเชิงเทคนิคของรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Tesla ออกมาแต่หุ้นของ Tesla ก็ยังคงยื่นอยู่ที่ $693.73 ซึ่งในความเห็นนักลงทุนมองว่าหุ้นตัวนี้จะขยับขึ้นไปสูงพอๆ กับความคาดหวังที่ Tesla จะมอบนวัตกรรมสุดล้ำให้แก่มวลมนุษย์
6. Johnson and Johnson – JNJ
นับเป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรม Pharmaceutical Medical devices Consumer healthcare มาอย่างยาวนาน ด้วยทีมนักวิจัยที่แข็งแกร่งนี่เองทำให้ในสถานการณ์ Covid-19 นี้ Johnson and Johnson ก็มีโอกาสพัฒนาวัคซีนที่ใช้ได้จริง ถือเป็นปัจจัยเชิงบวกที่ทำให้หุ้น JNJ กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง โดยปัจจุบันราคาหุ้นอยู่ที่ $159.60
7. Netflix – NFLX
ถือเป็นหุ้นสหรัฐตัวหนึ่งที่มีมูลค่าเติบโตมากสุดในปี 2020 ซึ่งจากกลยุทธ์ของการสร้าง Original Content อย่าง Local Content ได้นำพา Netflix ให้เป็นแบรนด์ที่มีความสร้างสรรค์เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ล่าสุดกับราคาหุ้น $518.02 ได้เปลี่ยนมุมมองของนักลงทุนที่อาจกังวลว่านี่เป็นเพียงกระแสสั้นๆ ให้มองทะลุไปถึงการบริหารงานอันยอดเยี่ยมของ Netflix
8. Twitter – TWTR
เรียกได้ว่าเป็นกระแสอยู่ทุกช่วง สำหรับแพลตฟอร์ม Twitter ที่ตอนนี้มีราคาหุ้นอยู่ที่ $68.10 โดยผู้ใช้บริการต่างชื่นชมว่าเป็นสังคมออนไลน์ที่ให้ความเท่าเทียมกันมากที่สุดแม้ยอดผู้ใช้งานจะน้อยกว่า Facebook อยู่หลายเท่าก็ตาม ซึ่งปัจจัยบวกทางการลงทุนล่าสุดต้องยอมรับว่าท้าทายไม่ใช่น้อย เพราะ Twitter ปล่อยฟีเจอร์ Spaces ที่มีความคล้ายคลึงกันกับ Clubhouse โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่านี่อาจเป็นโซลูชั่นที่เรียกผู้ใช้งานของ Twitter กลับมาและเพิ่มเป็นเท่าตัวในอนาคตได้
วันนี้เราได้แนะนำเกี่ยวกับการเล่นหุ้นต่างประเทศ รวมถึงตัวอย่างหุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจ หวังว่าจะเป็นประโยชต่อเพื่อนๆ นะครับ
*** ลงทุนมีความเสี่ยง CFD อาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน