10 โบรกเกอร์ Forex ที่ดีที่สุดสำหรับปี 2022

Forex เป็นเครื่องมืออันทรงพลังของนักเทรดและยังเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลก ส่วนหนึ่งมาจาก Forex เป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพ ใช้เงินลงทุนไม่มาก และสร้างความได้เปรียบทั้งด้านความสามารถในการทำกำไรทั้งทิศทางราคาขาขึ้นและขาลง 

ปัจจุบันโบรกเกอร์ Forex ก็มีให้เลือกอยู่มากมาย ซึ่งหากใครที่กำลังมองหาโบรกเกอร์ Forex ที่ดีที่สุดอยู่ เราได้รวบรวมรายชื่อโบรกเกอร์ที่น่าสนใจ รวมถึงวิธีเลือกโบรกเกอร์ Forex มาไว้ให้แล้ว

หลักการในการเลือกโบรกเกอร์ FOREX

สำหรับการเลือกโบรกเกอร์ Forex นั้นนักลงทุนจำเป็นต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากโบรกเกอร์ผู้ให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์เหล่านี้ไม่ได้มีผลกับแค่บริการและแพลตฟอร์มตัวช่วยในการเทรดเท่านั้น แต่หมายรวมถึงความปลอดภัยของเงินลงทุนด้วย ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ Forex ไหน เราแนะนำให้ทุกคนลองพิจารณาหลักการในการเลือกโบรกเกอร์ Forex ดังนี้ก่อน

1. การกำกับดูแล

ปัจจัยตัวนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกโบรกเกอร์คู่ใจสักแห่ง โบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าการดำเนินงานของโบรกเกอร์นั้น ๆ จะเป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ได้รับการยอมรับ และได้มีการตรวจสอบการดำเนินงานอยู่เสมอ

หน่วยงานที่ได้รับการยอมรับในการกำกับดูแลโบรกเกอร์ Forex เช่น FCA สหราชอาณาจักร, ASIC ออสเตรเลีย, NFA สหรัฐอมริกา, CySEC ไซปรัส, IFSC เบลิช

2. ความปลอดภัยของเงินทุน

ความปลอดภัยของเงินทุนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนตรวจสอบได้ยาก แต่มีความสำคัญมาก ๆ ในการเลือกโบรกเกอร์เพื่อใช้บริการ โบรกเกอร์ที่มีความปลอดภัยของเงินทุนจะมีการแยกบัญชีเงินฝากของลูกค้าไว้แยกต่างหากจากบัญชีสำหรับการดำเนินงานของบริษัท เพื่อป้องกันการใช้เงินผิดประเภท และเมื่อนักลงทุนต้องการถอนเงินก็สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องกังวลว่าเงินทุนจะหายไป

อย่างที่กล่าวไปตอนแรกว่าการตรวจสอบเรื่องนี้นั้นเป็นไปได้ยาก เพราะไม่ได้มีกฎหมายกำหนดให้โบรกเกอร์แต่ละแห่งต้องเปิดเผยบัญชีการดำเนินงาน แต่ยังสามารถตรวจสอบได้จากการดำเนินงานย้อนหลังของโบรกเกอร์นั้น ๆ ว่าเคยมีประวัติเรื่องความปลอดภัยของเงินทุนหรือไม่ ซึ่งการรีวิวจากผู้ใช้ต่าง ๆ จะเข้ามาช่วยเรื่องนี้ได้มาก

3. สินค้าที่ให้เทรด

ส่วนใหญ่แล้วโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขาย Forex มักมีสินค้าหลัก ๆ ที่ให้บริการไม่ต่างกัน นั่นคือ คู่สกุลเงินหลักและสินค้าโภคภัณฑ์ แต่สินค้าที่เปิดให้เทรดในตลาดมีมากกว่านั้นมาก และสินค้าหลายตัวก็สร้างโอกาสที่มากขึ้นให้กับนักลงทุนได้ ตัวอย่างเช่น สกุลเงินดิจิตอล ดัชนี หุ้นรายตัว ฯลฯ 

ดังนั้นก่อนการเลือกเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ไหน นักลงทุนจึงควรตรวจสอบรายชื่อสินค้าที่โบรกเกอร์นั้น ๆ เปิดให้เทรด เพื่อป้องกันการเปิดบัญชีแต่ไม่สามารถเลือกเทรดสินค้าที่ต้องการได้ หรือหากให้ดีก็ควรเลือกโบรกเกอร์ที่ให้บริการเทรดสินค้าหลากหลาย เพื่อช่วยเปิดโอกาสในการลงทุน และช่วยให้สามารถกระจายความเสี่ยงในพอร์ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. ประเภทบัญชี

โบรกเกอร์แต่ละแห่งมีเงื่อนไขในการให้บริการแตกต่างกัน ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้จะสะท้อนออกมาในรูปประเภทบัญชีที่ลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการได้ เช่น บัญชี Standard ที่ให้บริการทั่วไปตามมาตรฐาน หรือบัญชี Pro ที่มีฟังก์ชั่นสำหรับมืออาชีพเพิ่มเติม โดยแลกกับเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น จำเป็นต้องมีขั้นต่ำในการเทรดที่สูงขึ้น หรือมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ฯลฯ ดังนั้นนักเทรดจึงควรตรวจสอบเงื่อนไขและประเภทบัญชีที่โบรกเกอร์ให้บริการก่อนเลือกเปิดบัญชี

5. แพลตฟอร์มการเทรด

แพลตฟอร์มการเทรดเป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งและจัดการคำสั่งซื้อขายของนักเทรด โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะมีแพลตฟอร์มให้บริการที่เป็นมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ MT4/ MT5 หรือ แพลตฟอร์มที่โบรกเกอร์พัฒนาขึ้นด้วยตัวเอง ซึ่งนักเทรดควรศึกษาก่อนเพื่อให้ได้เครื่องมือที่เหมาะกับความต้องการของตนเองมากที่สุด

6. การฝากถอนเงิน

การฝากถอนเงินเป็นเงื่อนไขที่จะกระทบกับค่าใช้จ่ายและสภาพคล่องของนักลงทุน การฝากเงินของโบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะสามารถโอนเข้าพอร์ตได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่สำหรับการถอนเงินมักมีเวลาและค่าธรรมเนียมเข้ามาเกี่ยวข้อง 

การถอนเงินของโบรเกอร์ Forex ส่วนใหญ่ใช้เวลา 24 – 48 ชั่วโมงสำหรับการถอนเงินแบบมาตรฐาน และไม่มีค่าธรรมเนียมการถอนเงิน แต่สำหรับบางโบรกเกอร์ก็มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการถอนเงินในกรณีที่มีการถอนเงินเกินโควต้าที่กำหนด

7. ค่าธรรมเนียม สเปรด

ค่าธรรมเนียมเป็นรายจ่ายที่นักเทรดต้องเสียให้กับโบรกเกอร์เพื่อขอใช้บริการ ขณะที่สเปรดราคาคือส่วนต่างราคาซื้อขาย ณ เวลาหนึ่ง ๆ ของราคาสินค้า ซึ่งปัจจัยทั้งสองตัวนี้ถือเป็นต้นทุนสำคัญในการเทรด และเป็นปัจจัยที่สามารถเพิ่มหรือลดโอกาสในการทำกำไรของนักเทรดได้ 

อัตราค่าธรรมเนียมและสเปรดราคาของแต่ละโบรกเกอร์ก็มีความแตกต่างกัน ซึ่งหากเป็นไปได้นักลงทุนควรตรวจสอบเงื่อนไขค่าธรรมเนียมและเรทราคาสเปรดราคาของโบรกเกอร์แต่ละโบรกเกอร์และทำการเปรียบเทียบเพื่อให้ได้ต้นทุนการเทรดที่พอรับได้และไม่เสียเปรียบจนเกินไป

8. เลเวอเรจ

เลเวอเรจคืออัตราทดที่โบรกเกอร์กำหนดให้ โดยนักเทรดสามารถใช้ปัจจัยนี้เพื่อขยายขอบเขตในการทำกำไรได้ ตัวอย่างเช่น เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่านักเทรดสามารถวางเงินลงทุนเพียง 1% ของมูลค่าสัญญาที่ต้องการเทรด แต่สามารถทำกำไรได้เทียบเท่าการวางเงิน 100% ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งที่มีในเครื่องมือตัวนี้ที่สามารถสร้างความได้เปรียบให้กับนักลงทุนได้มาก

อย่างไรก็ดี ค่าเลเวอเรจของโบรกเกอร์แต่ละแห่งสำหรับสินค้าแต่ละตัวก็แตกต่างกันไป ดังนั้นนักเทรดจึงควรตรวจสอบข้อมูลก่อนการเปิดบัญชีและเริ่มเทรด

9. เครื่องมือการจัดการความเสี่ยง

เนื่องจากการเทรด Forex เป็นการเทรดที่มีความเสี่ยงสูง นักเทรดสามารถสร้างผลกำไรได้แบบไม่จำกัด ขณะเดียวกันก็สามารถสูญเสียเงินทุนทั้งหมดได้เช่นกัน ดังนั้นเครื่องมือจำกัดความเสี่ยงที่จะคอยป้องกันการสูญเสียเงินทุนเกินกว่าที่วางแผนไว้จึงมีความจำเป็น เช่น ฟังก์ชั่น Stop Loss/ Trailing Stop หรือฟังก์ชั่นป้องกันเงินทุนติดลบ ซึ่งโบรกเกอร์ส่วนใหญ่มักมีฟังก์ชั่นเหล่านี้ให้บริการอยู่แล้ว แต่ก็มีบางโบรกเกอร์ที่ให้บริการแบบมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่นักลงทุนควรตรวจสอบก่อนตัดสินใจเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ใดโบรกเกอร์หนึ่งเช่นกัน

10. การบริการ ภาษา

โบรกเกอร์ Forex มีความใกล้ชิดกับลูกค้าที่ใช้บริการ เนื่องจากเป็นผู้คอยให้ข้อมูลการเทรด บทวิเคราะห์ รวมถึงเป็นผู้ช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับนักเทรด ซึ่งโบรกเกอร์ส่วนใหญ่นั้นไม่ใช่โบรกเกอร์ไทย และมักมีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก 

อย่างไรก็ดีหลายโบรกเกอร์ Forex ยังมีบริการ เว็บไซต์ และแพลตฟอร์มที่สนับสนุนภาษาต่าง ๆ รวมถึงภาษาไทย ซึ่งหากนักเทรดจริงจังกับเรื่องนี้ก็ควรตรวจสอบการให้บริการ และภาษาที่โบรกเกอร์สนับสนุน เพื่อไม่ให้เกิดบัญหาหากต้องมีการติดต่อกับโบรกเกอร์ในภายหลัง

10 โบรกเกอร์ forex ที่ดีที่สุด

หลังจากเราไปดูหลักในการเลือกโบรเกอร์ Forex กันมาแล้ว ต่อไปนี้เราจะมาลองดูโบรกเกอร์ Forex ที่ได้รับความนิยมและมีความน่าเชื่อถือในการให้บริการที่เราคัดสรรมาดังนี้

1. MiTrade

MiTrade เป็นโบรกเกอร์สัญชาติออสเตรเลีย ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 และเริ่มเข้ามาดำเนินงานในประเทศไทยเมื่อปี 2019 และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ASIC และ CIMA ซึ่งแม้จะมีประวัติการก่อตั้งไม่ได้ยาวนาน แต่ MiTrade ก็ได้รับรางวัลการันตีคุณภาพและมาตรฐานการดำเนินงานมาแล้วมากมาย เช่น โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ Fintech ที่ดีที่สุดในเอเชีย 2021 จาก Global Forex Awards หรือ โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่ดีที่สุดในเอเชีย 2021 จาก FxDailyInfo 

MiTrade ให้บริการด้วยบัญชีมาตรฐานที่ให้อัตราทดสูงสุด 1:200 ด้วยจำนวนการเทรดขั้นต่ำเพียง 0.01 Lot เท่านั้น ด้วยบริการเทรดบนสินค้าหลากหลาย ไม่เฉพาะ Forex คู่เงินหลัก แต่ยังรวมถึง สินค้าโภคภัณฑ์ โลหะมีค่า ดัชนี หุ้นรายตัว และสกุลเงินดิจิทัล โดยใช้แพลตฟอร์มการเทรดที่พัฒนาขึ้นเองจากจุดมุ่งหมายที่พยายามทำให้การเทรดเป็นเรื่องง่าย ทำให้แพลตฟอร์มตัวนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถใช้งานได้แม้จะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเทรดก็ตาม 

สำหรับจุดเด่นของ MiTrade ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักเทรด เช่น

  • ไม่มีการรีโควต ทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถทำรายการบนราคาที่ถูกต้อง ไม่มีความเสี่ยงจากการีโควตในภายหลัง
  • ฟรีเครื่องมือจัดการความเสี่ยง เช่น ฟังก์ชั่น Stop Loss/ Trailing Stop และ ระบบป้องกันเงินทุนติดลบให้ใช้งานฟรี
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อขาย สเปรดต่ำ เริ่มต้นที่ 0.1 Pips
  • แพลตฟอร์มการซื้อขายที่เรียบง่ายและใช้งานง่าย พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักเทรดโดยเฉพาะ
  • ขั้นตอนการเปิดบัญชีเป็นแบบดิจิตอลทั้งหมด มีความสะดวกและรวดเร็ว โดยทั่วไปแล้วจะเสร็จภายใน 10 นาที
  • การเริ่มต้นเทรดอาศัยเงินฝากขั้นต่ำเพียง $50

ทั้งนี้ MiTrade ยังมีข้อด้อยอยู่ในด้าน

  • ไม่สนับสนุน MT4/MT5 เนื่องจากเน้นการใช้แพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งหากนักเทรดไม่ต้องการฟังก์ชั่นที่ยุ่งยากก็นับว่าเพียงพอ
  • ไม่มีระบบ Copy Trade



2. XM

XM เป็นโบรกเกอร์รายใหญ่ในการให้บริการซื้อขาย Forex ซึ่งได้รับการยอมรับสูงแห่งหนึ่ง ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2009 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่มที่เมืองมาลีซอล ประเทศไซปรัส นับถึงปัจจุบัน XM ให้บริการลูกค้าแล้วกว่า 5,000,000 คน จาก 196 ประเทศทั่วโลก และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ IFSC ประเทศเบลีซ, CySEC ประเทศไซปรัส และ ASIC ประเทศออสเตรเลีย

ด้านการให้บริการ XM มีบัญชีให้ลูกค้าเลือกใช้มากมายกว่า 5 ประเภท ได้แก่ บัญชี Micro, บัญชี Standard, บัญชี Ultra Low, บัญชีหุ้น และบัญชี Swap Free ด้วยเงื่อนไขการให้บริการที่แตกต่างกัน โดยที่ลูกค้าสามารถเทรดบนสินค้าทางการเงินได้กว่า 1,000 ชนิด จาก 6 ประเภทสินค้า ได้แก่ Forex หุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ โลหะมีค่า และสัญญาพลังงาน ด้วยเลเวอเรจสูงสุด 1:888 และมีสเปรดเริ่มต้นที่ 0.6 pips  ซึ่งทั้งหมดนี้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการเทรดผ่านแพลตฟอร์ม MT4 และ MT5 

จุดเด่นของ XM ที่น่าสนใจได้แก่

  • มีการเรียกเงินฝากขั้นต่ำสำหรับการเริ่มเทรดเพียง $5 ทำให้ไม่เป็นอุปสรรคต่อนักเทรดที่มีเงินทุนตั้งต้นไม่มาก
  • มีประเภทบัญชีที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการและเงื่อนไขของนักเทรดที่หลากหลาย เช่น บัญชี Micro ที่เหมาะสำหรับการซื้อขายขนาดเล็ก บัญชี Standard ที่เหมาะกับการซื้อขายในขนาดที่สูงขึ้น หรือ บัญชี Swap Free ที่ไม่มีการคิดค่าสวอปสำหรับการเทรด 
  • ไม่มีการรีโควต 

ข้อด้อยของ XM ได้แก่

  • ไม่มีระบบ Copy Trade
  • การไม่ใช้งานบัญชีทดลองใช้ (Demo Account) เกิน 90 วัน บัญชีจะถูกปิดและไม่สามารถใช้งานได้อีก

ข้อมูลเพิ่มเติม>>XM ดีไหม รีวิวโบรกเกอร์ XM แบบเจาะลึก(อัพเดทปี 2021)




3. EXNESS

Exness เป็นโบรกเกอร์ระดับโลกที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในไซปรัส เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2008 และให้บริการซื้อขายสินค้าทางการเงินหลากหลาย ได้แก่ Forex, หุ้น, ดัชนี, สกุลเงินดิจิทัล และโลหะมีค่า/พลังงาน ครอบคลุมสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในตลาดเกือบทั้งหมด Exness อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ CySEC และ FCA ทั้งยังเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการการเงินที่จะเข้ามามีบทบาทเมื่อเกิดปัญหาเมื่อเกิดความเสียหายของเงินทุนอีกด้วย

ด้านการให้บริการ Exness มาพร้อมการให้บริการทางบัญชี 2 รูปแบบ คือ บัญชีมาตรฐาน ที่ประกอบด้วย บัญชี Standard และ Standard Cent เหมาะสำหรับลูกค้าที่เพิ่งเริ่มต้นและมีเงินทุนน้อย กับ บัญชีมอือาชีพ ที่ประกอบด้วยบัญชี Raw Spread, บัญชี Pro และบัญชี Zero) ที่เหมาะกับผู้มีประสบการณ์ในการเทรดมาแล้ว ด้วยเสปรดเริ่มต้นที่ 0 pips ให้เลเวอเรจสูงสุดแบบไม่จำกัด และให้บริการด้วยแพลตฟอร์ม MT4/ MT5/ WebTerminal ที่เป็นมาตรฐานที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ Social Trading และ VPS

สำหรับโบรกเกอร์ Forex Exness มีข้อดีสำหรับนักเทรดตรงที่

  • มีประเภทบัญชีให้บริการหลากหลาย รองรับทุกความต้องการของนักเทรดได้อย่างเหมาะสม
  • เรียกเงินฝากขั้นต้นสำหรับการเริ่มเทรดเพียง $3 ช่วยลดข้อจำกัดสำหรับนักลงทุนที่มีเงินทุนตั้งต้นไม่มาก
  • มีช่องทางการถอนเงินหลากหลาย สามารถถอนเงินได้รวดเร็ว

อย่างไรก็ดี Exness ยังมีข้อด้อยที่นักลงทุนควรคำนึงถึงในด้าน

  • การไม่ใช้งานบัญชีทดลอง (Demo Account) นานกว่า 90 วันจะมีผลให้บัญชีถูกระงับการใช้งาน
  • มีสินค้าให้เทรดไม่มากเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อื่น ๆ
  • มีการ requote บ่อยครั้ง



4. FXPRO

FxPro เป็นโบรกเกอร์ Forex ระดับโลกที่ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ใน 6 กลุ่มสินค้าทางการเงิน ได้แก่ Forex โลหะมีค่า ดัชนี ฟิวเจอร์สในสินค้าเกษตรและพลังงาน หุ้น และพลังงาน มีสินค้าที่เปิดให้เทรดกว่า 400 ชนิด รวมถึงการเทรดสกุลเงินดิจิทัล ทั้งยังได้รับการกำกับดูแลจาก CySec, FCA, SCB และ FSCA

ในด้านการให้บริการ Fxpro ให้บริการด้วยบัญชีมาตรฐาน ขั้นต่ำที่ 0.01 Lots และยังเสนอบัญชีอิสลามสำหรับลูกค้าอิสลามโดยเฉพาะ โดยใช้แพลตฟอร์ม MT4/ MT5/ cTrader และแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นจาก FxPro โดยเฉพาะ ช่วยรองรับทุกความต้องการใช้เครื่องมือของลูกค้า โดยให้อัตราทดสูงสุดถึง 1:500

FxPro มีข้อได้เปรียบที่น่าสนใจคือ

  • เสนอตัวเลือกแพลตฟอร์มการเทรดที่หลากหลายกว่า 4 ชนิด
  • มีข้อมูลการศึกษาที่ครบถ้วน ทั้งปฏิทินเศรษฐกิจ การวิเคราะห์ทางเทคนิค เครื่องคำนวณการซื้อขาย บทรีวิวตลาดรายวัน และอีกมากมาย
  • มีการคิดค่าเสเปรดต่ำ เริ่มต้นที่ 0.6 Pips 

อย่างไรก็ดี FxPro ยังมีข้อด้อยที่นักเทรดควรตระหนักก่อนเลือกใช้งานได้แก่

  • มีการเรียกเงินฝากขั้นต่ำสำหรับเริ่มใช้งานสูงถึง $100 จึงอาจเป็นอุปสรรคสำหรับนักลงทุนที่มีเงินทุนตั้งต้นไม่มาก
  • มีการคิดค่าคอมมิชชั่นและสเปรดสูงกว่าโบรกเกอร์อื่นโดยเปรียบเทียบ
  • มีการให้บริการ VPS โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เดือนละ $30 



5. IC Markets

IC Markets เป็นโบรกเกอร์ Forex ที่ได้รับความเชื่อถือสูง ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2007 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองซิดนีย์ ออสเตรเลีย ได้รับการกำกับดูแลจาก ASIC, CySec และ FSA ให้บริการซื้อขายสินค้าทางการเงินหลากหลายชนิด เช่น Forex สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี หุ้น พันธบัตร สกุลเงินดิจิทัล และฟิวเจอร์ส โดยมีการเปิดให้เทรดสินค้าตลอด 24/7 (เฉพาะในส่วนสกุลเงินดิจิทัล) 

ด้านการให้บริการ IC Markets ให้บริการด้วยรูปแบบของบัญชี 3 ประเภท ได้แก่ บัญชี Raw Spread, บัญชี Standard และ บัญชีอิสลาม โดยมีสเปรดต่ำสุดเริ่มต้น 0.0  pips เท่านั้น การเทรดให้บริการด้วยแพลตฟอร์มหลากหลาย ทั้ง MT4/ MT5/ cTrader ด้วยปริมาณขั้นต่ำของการเทรดเพียง 0.1 Lots และให้อัตราทดสูงถึง 1:500

IC Markets มีข้อได้เปรียบสำหรับการเทรดได้แก่

  • เสนอตัวเลือกแพลตฟอร์มการเทรดที่หลากหลาย ได้แก่ MT4/ MT5/ cTrader
  • ไม่มีค่าธรรมการไม่ใช้งานบัญชี
  • มีข้อมูลทางเศรษฐกิจ/การเทรดให้นักเทรดได้ศึกษาอย่างครบถ้วน

อย่างไรก็ดี IC Markets ยังมีจุดด้อยที่นักเทรดควรคำนึงถึงก่อนตัดสินใจเปิดบัญชี ได้แก่

  • มีการเรียกเงินฝากขั้นต่ำสำหรับเริ่มเทรดสูงถึง $200 จึงอาจเป็นอุปสรรคต่อนักเทรดที่มีเงินทุนตั้งต้นไม่มาก
  • มีสินค้าให้เทรดไม่มากเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อื่น ๆ
  • ให้บริการ live chat ที่ใช้เวลานาน และไม่สนับสนุนการแชทด้วยภาษาไทย
  • มีการคิดค่า swap หรืออัตราดอกเบี้ยข้ามคืนสูงกว่าโบรกเกอร์อื่นๆ โดยเปรียบเทียบ



6. Pepperstone  

Pepperstone เป็นอีกหนึ่งโบรกเกอร์ Forex ระดับโลกที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในออสเตรเลีย เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2010 หลังจากนั้นก็เติบโตขึ้นจนปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ผู้ให้บริการเทรด CFD ระดับโลกที่ได้รับการยอมรับ Pepperstone อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ FCA, ASIC, SCB, DFSA, CMA และ BaFin ดำเนินงานภายใต้กรอบมารตรฐานของอุตสาหกรรมด้วยการให้บริการบนบัญชี Razer ที่เหมาะกับการสเกาล์ปิ้งและการซื้อขายแบบอัลกอริทึ่ม กับ บัญชีมาตรฐานสำหรับนักเทรดทั่วไป

ด้านการให้บริการ Pepperstone เปิดให้ซื้อขายสินค้าใน 7 กลุ่มสินค้า ได้แก่ Forex ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ ETF หุ้น สกุลเงินดิจิทัล และดัชนีสกุลเงิน โดยให้อัตราทดสูงถึง 1:200 และสเปรดเริ่มต้น 0 pips ด้วยแพลตฟอร์มการเทรดที่เป็นมาตรฐานอย่าง MT4, MT5 และ cTrader ทำให้โบรกเกอร์นี้ค่อนข้างได้รับความนิยมสำหรับนักเทรดในระยะสั้นรวมถึงนักเทรดสายอัลกอริทึ่มเป็นหลัก

ข้อได้เปรียบของ Pepperstone มีหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น 

  • นักเทรดสามารถเว้นช่วงการเทรดได้ยาวนาน เนื่องจากไม่มีค่าธรรมเนียนในการไม่ใช้งานของบัญชี
  • มีระบบการเปิดบัญชีที่ง่ายและรวดเร็ว
  • มีการบริการลูกค้าที่ดีเยี่ยม และมีแพลตฟอร์มที่สนับสนุนภาษาไทยเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ดี Pepperstone ยังมีข้อด้อยที่นักเทรดควรคำนึงถึง ได้แก่

  • เรียกเงินฝากขั้นต่ำสูงถึง $200 จึงอาจเป็นอุปสรรคกับนักเทรดที่มีเงินทุนเริ่มต้นไม่มาก
  • มีการคิดค่า swap สูงกว่าโบรกเกอร์อื่น ๆ โดยเปรียบเทียบ
  • การถอนเงินออกจากบัญชีมีการคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมครั้งละ $1



7. Avatrade

Avatrade เป็นโบรกเกอร์ Forex ระดับโลกที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทการเงิน AVA ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2006 จึงถือเป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ Forex ที่เก่าแก่ที่สุด Avatrade อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ CBoI, ASIC และ FSB ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินในหลากหลายกลุ่มสินค้า ได้แก่ Forex สกุลเงินดิจิทัล สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี ETV หุ้น และพันธบัตร โดยให้อัตราทดสูงสุดถึง 1:400 ด้วยสเปรดเริ่มต้นที่ 0.08 pips

ด้านการให้บริการ Avatrade ให้บริการด้วยแพลตฟอร์มการเทรดที่หลากหลาย เช่น MT4/ MT5/ WebTrader/ AvaOptions ฯลฯ ทั้งยังมีฟีเจอร์ออโตเทรดหลากหลายให้ลูกค้าเลือกใช้ เช่น RoboX/ Mirror Trader/ MQL5 Signal Service/ API Trading และ การ Duplitrade   

การเทรดกับ Avatrade นั้นมีข้อได้เปรียบหลายประการ ได้แก่

  • มีตัวเลือกแพลตฟอร์มการเทรดที่หลากหลาย มีฟีเจอร์ที่ตอบสนองความต้องการของนักเทรดมืออาชีพได้เป็นอย่างดี
  • มีค่าธรรมเนียมและค่าคอมมิชชั่นต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับโบรกเกอร์อื่น ๆ
  • มีเนื้อหาข้อมูลสำหรับการศึกษาของนักเทรดอยู่หลากหลาย เพียงแค่เนื้อหาในวีดีโอจะไม่รองรับภาษาไทยเท่านั้น

อย่างไรก็ดี Avatrade ยังมีข้อด้อยที่ควรตระนักดังนี้

  • มีการคิดค่าสเปรดที่ค่อนข้างสูงกว่ามาตรฐาน
  • มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการไม่ใช้งานค่อนข้างสูง คือ หากไม่ได้มีการใช้งานบัญชีเป็นเวลา 3 เดือน จะถูกคิดค่าธรรมเนียม $50(~฿1,600) และยังมีการคิดค่าธรรมเนียมการรักษาบัญชีที่จะถูกคิดเมื่อไม่มีการใช้งานนานกว่า 12 เดือน เป็นจำนวน $100(~฿3,100) ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างแพงโดยไม่จำเป็น



8. LAND-FX

LAND-FX เป็นโบรกเกอร์ Forex จากเกาะอังกฤษที่คนไทยอาจไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ เพราะทางโบรกเกอร์เพิ่งเข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ตัวบริษัทเดิมเปิดบริการมาแล้วตั้งแต่ปี 2012 และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ FSA และยังเป็นสมาชิกของ Financial Services Compensation Scheme (FSCS) ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าได้รับเงินชดเชยสูงสุดถึง $50,000 ในกรณีที่บริษัทล้มละลายหรือไม่สามารถดำเนินงานต่อไปได้

ด้านการให้บริการ LAND-FX มาพร้อมบัญชี 2 ประเภทให้ลูกค้าเลือกใช้งาน ได้แก่ บัญชี Standard, บัญชี Zero Spread และบัญชี PRO โดยลูกค้าสามารถเลือกเทรดสินค้าทางการเงินได้ทั้ง Forex โลหะมีค่า น้ำมันและแก๊ส รวมถึงดัชนี ด้วยแพลตฟอร์มการเทรดที่นักเทรดคุ้นเคยดีอย่าง MT4/ MT5/ และ LAND-FX Platform ที่ประกอบด้วย PAMM system 

ด้วยองค์ประกอบดังกล่าวทำให้ LAND-FX มีข้อได้เปรียบดังนี้

  • มีบัญชี PAMM ให้บริการกับลูกค้า ซึ่งบัญชีประเภทนี้จะเข้ามาช่วยในการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตด้วยการมีส่วนในการจัดการเงินทุน (Money Management) เพื่อให้การลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
  • รองรับแพลตฟอร์มการเทรดหลากหลาย ได้แก่ MT4/ MT5/ และ LAND-FX Platform

อย่างไรก็ดี LAND-FX ยังมีข้อด้อยที่นักเทรดควรคำนึงถึง คือ

  • LAND-FX มีสินค้าให้เลือกเทรดไม่มากเมื่อเทียบกับโบรกเกอร์อื่น ๆ เช่น ไม่มีบริการการเทรด Cryptocurrency และหุ้น
  • มีการคิดค่าธรรมเนียมสำหรับการไม่ใช้งานของบัญชี
  • มีข้อมูลการเรียนรู้และข้อมูลสนับสนุนการศึกษาน้อยมาก



9. Think markets

Think markets เป็นโบรกเกอร์ Forex ที่ได้รับความนิมสูงอีกโบรกหนึ่งที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในออสเตรเลีย และได้รับใบอนุญาตดำเนินการจาก ASIC ออสเตรเลีย และ FCA ของอังกฤษ โดยหลักแล้ว Think markets ให้บริการด้วยบัญชี 2 ประเภท ได้แก่ บัญชี Standard สำหรับลูกค้าทั่วไปและไม่มีค่าคอมมิชชั่น กับ บัญชี ThinkZero ที่มีค่าคอมมิชชั่นเพิ่มขึ้นมา แต่ตอบสนองกับการเทรดด้วยสเปรดที่ลดลง ด้วยสเปรดเริ่มต้น 0 pips ด้วยเลเวอเรจสูงสุด 1:500

Think markets ให้บริการซื้อขายสินค้าทางการเงินในหลายประเภทสินค้า ได้แก่ หุ้น สกุลเงินดิจิทัล Forex ดัชนี โลหะมีค่า และพลังงาน รวมกว่า 1,500 รายการ ด้วยแพลตฟอร์มการเทรดที่เป็นมาตรฐานอย่าง MT4/ MT5 และ Trade Interceptor นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Autochartist สำหรับบัญชี ThinkZero และส่วนของบริการ Pamm/MAM ด้วย

โดยรวมแล้ว Think markets มีข้อได้เปรียบในด้าน

  • มีสินค้าที่ให้เทรดหลากหลาย ครอบคลุมสินค้าหลักที่นักเทรดต้องการอย่างครบถ้วน
  • ไม่มีเงินฝากขั้นต่ำ ช่วยเปิดโอกาสในการลงทุนสำหรับนักเทรดที่มีทุนไม่มากอย่างเต็มที่
  • มีบริการ Pamm/MAM ช่วยในการกระจายพอร์ตและบริหารเงินทุน (Money Management) อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ดี Think markets ยังมีข้อเสียตรงที่

  • มีข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดจำกัด
  • บริการ Live chat ยังไม่รองรับภาษาไทย
  • ไม่มีระบบป้องกันยอดเงินคงเหลือติดลบ
  • มีบริการสื่อการศึกษาให้สำหรับลูกค้าทำการฝากเงินแล้วเท่านั้น



10. FBS

FBS เป็นโบรกเกอร์ Forex ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี โดยโบรกเกอร์นี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2009 ในสหภาพยุโรป และกำกับดูแลโดย CySEC ของประเทศไซปรัส และ IFSC โดยปัจจุบันมีลูกค้าเป็นสมาชิกแล้วกว่า 15 ล้านราย ในกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมสินค้าที่นักเทรดสนใจได้เกือบทั้งหมด FBS ให้บริการด้วยบัญชี 6 ประเภท ได้แก่ บัญชี Standard เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์, บัญชี Cent เหมาะกับนักเทรดที่เพิ่งเริ่มต้น, บัญชี Micro เหมาะกับผู้ที่ต้องการคำนวณกำไรอย่างแม่นยำ, บัญชี Zero ที่ต้องการเทรดได้ด้วยความเร็ว, บัญชี ECN เหมาะกับนักเทรดที่ต้องการเข้าถึงการซื้อขายแบบ ECN และบัญชี Crypto สำหรับการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลโดยเฉพาะ

ด้านการให้บริการ FBS ให้บริการด้วยแพลตฟอร์มมาตรฐานอย่าง MT4/ MT5 และ FBS Trader และให้อัตราทดสูงสุดถึง 1:3,000 ด้วยสเปรดเริ่มต้น 0 pips

โดยรวมแล้ว FBS มีข้อได้เปรียบหลายประการ ได้แก่

  • เป็นโบรกเกอร์ที่ไม่มีการ reqoute ช่วยให้นักเทรดคำนวณกำไรและความเสี่ยงจากราคาได้อย่างแม่นยำ
  • ไม่มีการคิดค่า swap สำหรับบัญชีบางประเภท ช่วยลดต้นทุนการถือครองสถานะ
  • มีบริการ VPS ฟรี

อย่างไรก็ดี FBS ยังมีข้อเสียในด้าน

  • ไม่มีระบบแยกเก็บเงินทุนของลูกค้า จึงไม่มีการรองรับความปลอดภัยของเงินทุน
  • มีตัวเลือกคู่สกุลเงินที่เปิดให้เทรดน้อยกว่าโบรกอื่น
  • มีการคิดเรทการฝากถอนที่แพงกว่าโบรกเกอร์อื่นโดยเปรียบเทียบ

จากรายชื่อ 10 โบรกเกอร์ forex ที่ดีที่สุด ที่เราคัดสรรมาให้ในคราวนี้น่าจะพอตอบคำถามและช่วยเป็นไกด์ไลน์ในการเลือกโบรกเอร์ Forex คู่ใจของนักเทรดกันได้บ้างไม่มากก็น้อย และสิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมก็คือการตรวจสอบรีวิวเพื่อให้มั่นใจว่าโบรกเกอร์ที่เราเลือกจากหลักการในการเลือกโบรกเกอร์ FOREX นั้นจะให้บริการได้อย่างที่เราคาดหวังไว้อย่างแท้จริง